New MG ES ราคา 959,000 บาท รถยนต์ไฟฟ้า 100% ขับแล้วเป็นยังไง

Share on facebook
Share on twitter

New MG ES รถไฟฟ้า 100% สามารถเดินทางได้ 412 กิโลเมตรต่อหนึ่งการชาร์จ ราคา 959,000 บาท การขับขี่ และการใช้งานต่างๆ จะเป็นอย่างไร เราไปรีวิว และทดลองขับกันครับ

สำหรับ New MG ES คันนี้จะเป็นรถทรงวากอน เรียกง่ายๆ ว่าเป็นรถสไตล์แบบพ่อบ้านหน่อย ซึ่ง MG ES ไม่ได้มาแทน MG EP ซึ่งหากต้องการออฟชั่นเยอะ ดีไซน์ทันสมัยมากขึ้น ราคาสูงขึ้น MG ES จะตอบโจทย์มากกว่า MG EP ที่ดูไม่ได้โมเดิร์นมากนักเมื่อเปรียบเทียบกัน และราคาก็จะถูกกว่าด้วย

New MG ES ดีไซน์โดยรวมจะคล้ายกับ Mercedes-Benz ซึ่งมีจุดเด่น คือช่วงล่างที่ทาง MG ได้เปลี่ยนให้แตกต่างกับ MG EP แน่นอน ซึ่งจะให้ฟีลลิ่งที่แตกต่าง โดยช่วงล่างด้านหน้าเป็นแบบแมคเฟอร์สันสตรัท ด้านหลังเป็นแบบทอร์ชั่นบีบ ถ้าคุณได้มีโอกาสมาทดลองขับจะเห็นว่าความแตกต่างกับ MG รุ่นต่างๆ อย่างแน่นอน

พละกำลังของรถคันนี้สูงถึง 177 แรงม้า แรงบิดสูงสุดอยู่ที่ 280 นิวตันเมตร สามารถเดินทางได้ 412 กิโลเมตรต่อหนึ่งการชาร์จ ซึ่งเป็นตัวเลขจากทาง MG ครับ และเมื่อมาใช้งานจริงแล้วรถทุกคันจะไม่ได้ตามที่เคลมไว้แน่นอน อย่างคันนี้โดยประมาณคาดว่าจะอยู่ที่ 300 - 350 กิโลเมตร ต่อหนึ่งการชาร์จ

ความชอบที่สัมผัสได้จากรถคันนี้ อย่างแรกคือหน้าจอคนขับ ที่ให้ความชัดเจน ภาพกว้างใหญ่ ฟอนต์ต่างๆ สบายตา ไม่ซับซ้อน เวลาขับรถดูได้โดยที่ไม่ต้องมาปรับตรงพวงมาลัย ถือว่าเป็นข้อดีอย่างแรก และการที่จะดูโหมดการขับขี่ต่างๆ ทำได้อย่างสะดวกสบาย ง่ายดาย โดยโหมดการขับขี่มี 3 แบบ คือ ECO, COMFORT และ SPORT ส่วน KERS MODE มี 3 ระดับ ซึ่งก็คือการชาร์จพลังงานกลับไปที่แบตเตอรี่นั่นเอง

MG ES มีจุดเด่นอีกเรื่องคือเบาะ จากที่ได้ขับมา 3 วันแล้ว เบาะคนขับปรับไฟฟ้า ส่วนผู้โดยสารยังปรับแมนนวลเหมือนเดิม ซึ่ง MG EP เบาะไม่ได้ปรับไฟฟ้าเลย ก็รู้สึกแปลกๆ ที่เป็นรถไฟฟ้าทันสมัยดูโมเดิร์น แต่เบาะไม่ใช้ปรับไฟฟ้า และอีกอย่างคือเบาะนั่งสบาย ลองใช้งานจริงแล้ว ลองขับแบบเป็นจริงเป็นจัง รู้สึกว่าสบายอยู่นะ ไม่ได้รู้สึกเมื่อย โอเคมากๆ เลยครับ

สำหรับการควบคุมพวงมาลัย ถือว่าดี ไม่ได้รู้สึกหนักเกินไป เมื่อเปรียบเทียบกับการดูรถครั้งแรกในโชวร์รูม หรือในงานแสดงรถต่างๆ สัมผัสถึงวัสดุแล้วไม่ค่อยดีมากนัก แต่พอมาใช้งานจริงๆ แล้ว มันก็โอเคนะ ส่วนการปรับระดับของพวงมาลัยยังปรับแบบแมนนวล ซึ่งทั้งหมดนี้คือความรู้สึกส่วนตัว หากสิ่งที่ย้ำอยู่เสมอคือ อยากให้ทุกคนลองมาขับเองก่อนที่จะซื้อรถ

เมื่อทดลองขับตอนกลางคืน ภายในโดยรวมจะค่อนข้างมืด ซึ่งภายในไม่มีไฟแอมเบียนซ์มาคอยซัพพอร์ต แต่มีตรงหน้าจอคนขับ และหน้าจอเอนเตอร์เทนเมนท์ ที่สว่างมากสว่างพอสมควร ส่วนการปรับแสงจากที่ลองปรับแล้ว แต่ไม่สามารถปรับระดับได้ จึงแนะนำว่าต้องลองสอบถามทางศูนย์ หรือทางเซลล์กันอีกครั้ง

เรื่องหน้าจอที่ชอบอีกอย่าง คือหน้าจอกลาง จะหันมาทางคนขับ คือจะโฟกัสการใช้งานผ่านคนขับเป็นหลัง สะดวกมากในการมองกล้องถอยรถ หรือจะเปลี่ยนเลน และมีกล้องด้านข้างอีกด้วย อำนวยความสะดวกได้ดี เหมาะกับตำแหน่งที่วาง เพื่อโฟกัสกับคนขับได้ดีทีเดียวเลย

หนังจากหน้าจอแล้วมาดูเรื่อง กล้องถอยหลัง ภาพที่เห็นเป็นแบบสแตนดาร์ด เน้นใช้งานเป็นหลัก โดยจะแสดงให้เห็นอัตโนมัติเวลาถอยหลัง อยู่ที่แบบ เลี้ยว ภาพก็จะขึ้นมาซัพพอร์ตในการขับขี่ของเรา แต่ถ้าต้องการให้ชัดแบบ HD จะไม่ตอบโจทย์แบบนั้นนะครับ

มาที่กระจกมองข้าง เมื่อขับตอนกลางวัน บางมุมจะมีรีเฟล็ก สะท้อนคอนโซลภายในค่อนข้างชัดเจน ส่งผลให้ทัศนวิสัยไม่เคลียร์ 100% และมุมมองกระจกข้างของเบาะหลัง มุมมองที่มองไปด้านหลังอาจจะบีบๆ ทำให้มองด้านท้ายขณะกลับรถ หรือเลี้ยว แต่อาจจะไม่มั่นใจจนต้องหันกลับไปมองด้านหลังเป็นบางครั้ง เช่นเดียวกันกับกระจกมองหลัง ที่มุมมองจะมีที่พังศีรษะของเบาะแถวหลังบังอยู่บ้าง

พื้นที่ด้านหลังถือว่าโอเค กว้างขวาง เหลือเฟือ นั่งสบาย แต่แถวหน้า การออกแบบ คอนโซนกลางจะเหมือนกับ MG VS รู้สึกว่าไม่ได้โปร่ง โล่งซะทีเดียว เนื่องจากคอนโซนกลางค่อนข้างใหญ่ คนนั่งจะรู้สึกอึดอัด และรู้สึกว่าเกะกะ แต่ข้อดีก็มี คือการควบคุมเกียร์ ทำได้ง่ายดาย ปรับโหมดการขับขี่ โดยไม่ต้องละสายตาเวลาขับรถอยู่ นอกเหนือจากนั้นยังมีช่องด้านล่างสามารถเก็บของได้เยอะ มีช่อง USB เหลือเฟือ แต่มุมมองส่วนตัวนั้นไม่ค่อยชอบที่เก็บของข้างใต้สักเท่าไหร่ เพราะไม่ได้สะดวกในการหยิบของนั่นเอง

พื้นที่เก็บสัมภาระด้านท้าย อันดับแรกไม่ได้เป็นแบบไฟฟ้า และถ้าต้องการใส่กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ 2-3 ใบ อาจจะปิดไม่ค่อยได้ อาจจะต้องพับเบาะแถวหลัง เหมือนกับที่เคยรีวิวไว้ก่อนหน้านี้ การขับขี่โดยรวมของรถคันนี้ เป็นรถไฟฟ้า 100% ไม่ต้องรอรอบเหมือนรถเครื่องยนต์สันดาป เมื่ออยากจะเร่ง เหยียบเต็มที่ได้เลย หากทดสอบขับ 0- 100 กิโลเมตร / ชั่วโมง รถไฟฟ้าจะได้เปรียบกว่าเพราะว่าช่วงความเร็วต้นรถจะพุ่งไปได้เลย

การขับเข้าโค้ง การเลี้ยว พวงมาลัยจะคืนตัวเองถือว่าโอเค เมื่อลองปรับโหมดเป็น COMFORT ขับที่ความเร็วประมาณ 90 กิโลเมตร / ชั่วโมง แล้วก็เข้าโค้ง ให้ฟิลลิ่งดี ช่วงล่างเฟิร์มมาก ดีกว่า MG รุ่นก่อนๆ แต่ถ้าทำได้ดีมากกว่านี้อีก จะปังมากเลย พวงมาลัยนำหนักเหมาะมือ ความเร็ว 80 กิโลเมตร / ชั่วโมง ด้านหลังจะมีอาการแบบโยนนิดนึง เมื่อเข้าโค้ง โดยรวมถือว่าได้มาตรฐาน ด้านอัตราความเร็ว เมื่อเหยียบเร่ง ความเร็วก็มาแล้วครับ

ทดลองเปลี่ยนจากโหมด COMFORT ไปเป็น SPORT เพียงปรับที่แผงควบคุมปุ๊บ เหมือนรถมีอาการพุ่งนิดนึง ทำให้รู้ว่าเราปรับโหมดแล้ว ลองเหยียบคันเร่ง สุดยอด แรงจริง แค่เหยียบแค่นี้ก็รู้แล้วว่าแตกต่างกับโหมดก่อนนี้อย่างชัดเจนเลยครับ รถจะพุ่ง ตัวรถรู้สึกว่าเบาลง พลิ้วมากขึ้น และลองปรับ KERSเป็นระดับ 3 แล้ว โหมดนี้เมื่อระบบชาร์จแบตกลับทำงาน แทบจะไม่รู้สึก แต่เมื่อดูจากตัวเลขบนหน้าจอจะรู้สึกว่าชาร์จไฟกลับอยู่บ้าง ซึ่งไม่ได้เยอะมากนัก

เมื่อปรับไปเป็นโหมด COMFORT คู่กับ KERS 3 การชาร์จไฟกลับรู้สึกว่าจะทำได้เยอะกว่า และลองปรับเป็นโหมด ECO คู่กับ KERS 3 พร้อมกับการขับขี่ที่ใช้แป้นคันเร่งอย่างเดียว ใช้เบรกให้น้อย ซึ่งจะแนะนำแบบนี้ เพราะจากที่ได้ทดลองขับมาจะประหยัดแบตเตอรี่ได้เยอะที่สุด โดยขับด้วยความเร็วประมาณ 60 แล้วข้างหน้าเบรก เราก็เพียงยกคันเร่งความรู้สึกรถจะดึงตัว และทำการชาร์จไฟกลับทันที ซึ่งการทำงานแบบนี้มีหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ทั้งการขับขี่ สภาพการจราจร ฯลฯ ซึ่งโหมด ECO ให้การประหยัดพลังงานที่มีประสิทธิภาพที่มากที่สุด

เรื่องของระยะการเดินทาง ตั้งแต่ได้รับรถมามีแบตเตอรี่ 92% สามารถเดินทางได้ 322 กิโลเมตร ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบแบตเตอรี่ที่ต่างกัน 8% จาก 100% สามารถเดินทางได้ 412 กิโลเมตรแล้ว แตกต่างกันเกือบ 100 กิโลเมตรทีเดียว ซึ่งความเป็นจริงแล้วตัวเลขที่เห็นอาจจะไม่ได้เป็นไปตามที่เคลมไว้เมื่อใช้งานจริง

จากที่ใช้งานมาประมาณ 92 กิโลเมตร แบตเตอรี่เหลือ 58% ระยะทางแสดงว่าขับได้อีก 210 กิโลเมตร ส่งผลให้ระยะทางหายไปประมาณ 10 กิโลเมตร หลังจากนั้นขับไปอีกประมาณ 40 กิโลเมตร รวมเป็นการเดินทางทั้งหมด 135 กิโลเมตร แบตเตอรี่แสดงผลเหลือ 45% สามารถเดินทางได้อีก 153 กิโลเมตร ซึ่งคิดแล้วจะมีระยะทางที่หายไปประมาณ 30 กว่ากิโลเมตร จากที่รับรถมาครั้งแรก ทำให้การใช้รถไฟฟ้าจริงจะต้องเพื่อระยะทางไว้ประมาณ 50-100 กิโลเมตร จากระยะทางเต็มจำนวน 412 กิโลเมตรที่แบตเตอรี่ 100%

การทดสอบ 0-100 กิโลเมตร / ชั่วโมง ขับขี่ด้วยโหมด COMFORT คู่กับ KERS ระดับ 1 ทำเวลาได้ 8.05 วินาที ด้านระบบความปลอดภัยมีให้พอสมควร อย่างระบบเตือนการชนด้านหน้า-หลัง เป็นต้น แต่ระบบที่ผมชอบนั้น ไม่มีมาให้ เช่น Blind Spot, Lane Departure

ด้านความคุ้มค่า New MG ES ราคา 959,000 บาท ถ้าชอบในเรื่องของดีไซน์ ออฟชั่น ความล้ำสมัย สไตล์ทรงวากอน ชอบการขับขี่แบบรถไฟฟ้าขนาดยาว และสามารถไปเป็นแท็กซี่ ก็ถือว่าโอเค แต่ถ้าคุณไปเปรียบเทียบกับ MG EP ที่ราคา 771,000 บาท ก็แตกต่างกัน ซึ่งอยู่ที่การใช้งานของแต่ละท่าน

ส่วนรถไฟฟ้าที่มีให้เลือกได้แก่ ORA GOOD CAT, BYD ATTO 3 หรือจะมองไปทางรถยุโรป ได้แก่ BMW iX, Mercedes-Benz EQS หรือ TESLA MODEL 3 นอกจากนี้ MG ยังมีรถไฟฟ้าแบบ SUV ให้เลือกอย่าง MG ZS

มุมมองส่วนตัว ในแง่ของรถไฟฟ้า ผมแนะนำว่าให้เป็นรถคันที่สอง อย่าซื้อเป็นรถคันแรก เพราะว่าการใช้งานการดูแลต่างๆ จะซับซ้อนนิดนึงนะครับ ในเรื่องของตู้ชาร์จ แอพพลิเคชั่นต่างๆ ซึ่งแนะนำว่าให้ชาร์จที่บ้าน เพราะจะไม่เสียเวลา เพราะชาร์จที่สาธารณะ อย่างน้อยต้องใช้เวลา 20-30 นาที ทำให้เสียเวลาพอสมควร ยิ่งหากต้องเดินทางไปต่างจังหวัด ต้องตรวจสอบสถานีชาร์จ หรือตรวจสอบที่โรงแรมว่ามีจุดชาร์จรถไฟฟ้าหรือไม่ อีกด้วย

นอกเหนือจากนี้ ยังทดลองล้างรถ ซึ่งไม่ต้องกังวลกับเรื่องการเปียกน้ำ ลุยน้ำ ผ่านเครื่องล้างรถอัตโนมัติ ก็ไม่มีปัญหา ขับผ่านได้สบายๆ สำหรับ New MG ES รถไฟฟ้า 100% คันนี้

*สามารถชมคลิปรีวิวฉบับเต็มได้ที่ Link ด้านล่างนี้เลยครับ