รีวิวใช้งาน MG MAXUS 9 ดีกว่าที่คิดแต่แนะนำให้เลือกตัวท็อป

Share on facebook
Share on twitter

MG MAXUS 9 รถตู้ไฟฟ้า 100% มีให้เลือก 2 รุ่นย่อย รุ่นเริ่มต้นราคา 2,499,000 บาท และรุ่นท็อปราคา 2,699,000 บาท

เริ่มต้นที่การทดลองนั่งด้านหลังกันก่อน พื้นที่กว้างขวาง เหลือเฟือ ให้ความสบายมากๆ ครับ ใครที่กำลังหารถ MPV หรือรถตู้ ที่เป็นรถไฟฟ้า 100% คันนี้ถือว่าตอบโจทย์นะครับ พื้นที่โดยรวมรู้สึกเป็นฟีลแบบรถผู้บริหาร รถครอบครัว อีกทั้งยังมีลูกเล่นอย่างปุ่มควบคุมข้างประตู เป็นแบบหน้าจอทัชสกรีน สามารถปรับเบาะได้หลายรูปแบบ ทั้ง BASIC FUCTIONS ปรับเอนเบาะแบบทั่วไป นอกจากนั้นยังควบคุมซันรูฟ แอร์ ได้อีกด้วย นอกจากนั้นยังมีที่พักแขนนั้น สามารถดึงอุปกรณ์เสริมออกมาเป็นที่วางของ ฟีลแบบผู้บริหารอยากจะกินข้าว วางแท็บเล็ต ก็สามารถทำได้ และยังมีช่องวางของอื่นๆ ซ่อนอยู่อีกด้วย

เบาะแถวสามนั่งได้สบายๆ กว้างขวาง นั่งได้ 3 คน แต่หากตัวไม่เล็ก นั่ง 2 คนกำลังดี โล่งๆ มีแอร์ด้านหลัง และมีปุ่มด้านหลังเบาะแถวสอง เพื่อปรับเบาะแถวนั้นได้ด้วย ด้านข้างมีที่วางแก้วน้ำ ที่วางโทรศัพท์ช่องเล็กๆ อีกด้วย

ฟิลลิ่งการขับ MG MAXUS 9 รถไฟฟ้า 100% เป็นอย่างไร? การขับขี่โดยรวมของรถไฟฟ้า คือเร่งแล้วไม่ต้องรอรอบ เหยียบได้เลย จากความเร็วประมาณ 70 กิโลเมตร/ชั่วโมง มาถึง 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ทำความเร็วได้ดี เป็นจุดเด่นของรถไฟฟ้า โหมดการขับขี่อย่าง Normal ECO Sport ส่วน KERS เหมือนรถ MG ไฟฟ้าคันอื่นคือมี 3 ระดับ ซึ่งหน้าจอคนขับแสดงให้ดู 3 ระดับ แต่ถ้าเป็นหน้าจอเอ็นเตอร์เทนเมนท์จะเขียนว่า High Low Standard

KERS ระดับ 3 รถจะหน่วงพอควร เหมาะกับการขับในพื้นที่รถติด ขับในเมืองเป็นหลัก แต่หากจะขับบนทางด่วน ต่างจังหวัด ก็สามารถทำได้ ซึ่งอาจต้องปรับตัวให้คุ้นเคยกับการเดินคันเร่ง หรือการยกคันเร่ง เช่นการขับโหมด Sport คู่กับ KERS 3 เมื่อยกคันเร่งรถจะดึงมากกว่าโหมดอื่น โดยการขับครั้งนี้หลักๆจะขับโหมด Normal คู่กับ KERS 3 เมื่อยกคันเร่งก็จะรู้สึกได้ถึงการดึงของรถ การที่ตั้ง KERS ไว้สูงเช่นระดับ 3 การ Regenerate พลังงานก็จะได้ดีและมากขึ้นครับ

พวงมาลัยนุ่มมือ ขับแบบสบายๆ แต่ถ้าต้องการให้ตอบโจทย์การขับที่กระชับมือ ควบคุมได้ทันใจ พวงมาลัยนี้อาจจะไม่ล็อคมือซะทีเดียว สำหรับการปรับพวงมาลัยปรับขึ้น-ลง เข้า-ออก ได้ แต่ไม่ใช่ระบบปรับไฟฟ้า เบาะคนขับนุ่มสบาย พื้นที่กว้างขวาง แต่ไม่กระชับโอบรับคนขับเมื่อขับเข้าโค้งหนักๆ ครับ

กระจกมองหลัง จะมองเห็นจากมุมหลังรถอย่างเดียว ไม่สามารถมองผ่านเบาะแถวสอง แถวสาม ซึ่งเป็นการตั้งค่าเพื่อความเป็นส่วนตัวของผู้โดยสารด้านหลัง โดยเป็นการออกแบบเพื่อตอบโจทย์ในสไตล์รถผู้บริหารของทาง MG ซึ่งไม่สามารถปรับให้มองจากด้านในรถ จึงแนะนำให้ผู้สนใจรถคันนี้ต้องมาลองขับก่อนตัดสินใจซื้อรถครับ เลยจะทำให้ใช้กระจกมองข้างเป็นสิ่งที่ใช้งานมากกว่ากระจกมองหลัง

กล้อง 360องศา ภาพชัด และมีไฟเตือน Blind Spot ที่ด้านในกระจกมองข้าง ส่วน Head Up Display คันนี้ไม่มีมาให้นะครับ ส่วนเกียร์ของ MG MAXUS 9 จะอยู่ที่หลังพวงมาลัยด้านขวา

หน้าจอเอ็นเตอร์เทนเมนท์ ของรถคันนี้จะควบคุมระบบต่างๆ ตั้งแต่การสตาร์ทเครื่อง แทนการใช้ปุ่มสตาร์ทคือเวลาเปิดประตู หรือว่าจอด เปิด-ปิด ประตู รถจะดับให้อัตโนมัติ รวมถึงควบคุมระบบความปลอดภัย ต่างๆ ยกเว้นการควบคุมระบบแอร์ ที่ควบคุมผ่านแผงด้านล่างจอนี้ การเชื่อมต่อกับ Apple Car Play มองเห็นฟอนต์ของแอพพลิเคชั่น เห็นได้ชัดเจน ขนาดใหญ่มาก โดดเด่น สวยมาก และเมื่อเปรียบเทียบกับหน้าจอคนขับแล้ว หน้าจอคนขับจะมีขนาดเล็กกว่าทันที แต่ด้วยความเล็กของหน้าจอคนขับก็แฝงไว้ด้วยฟีเจอร์อย่างแรกคือ การจำกัดความเร็ว ที่เตือนเมื่อขับรถเกินความเร็วที่กำหนดไว้ หรือคนขับทำอย่างอื่นจนสมาธิหลุดออกจากการขับขี่ หน้าจอก็จะเตือนด้วยเช่นกัน

สิ่งที่ชอบอีกอย่างคือ คอนโซนหน้าที่มีความนุ่มมาก สมมุติมีเด็กนั่งอยู่ด้านหน้า แล้วเบรกกะทันหัน จะรู้สึกมั่นใจได้ ส่วนที่วางแขนมี Wireless Charger ให้ด้วย มีที่วางแก้วสองช่อง และช่องใต้ที่วางแขนขนาดใหญ่ ออกแบบได้ดีกว้างขวาง ไม่บีบช่วงขาของคนขับ ปล่อยช่องให้โล่ง ทำให้โดยรวมกว้างมากยิ่งขึ้นด้วย

ฟิลลิ่งการขับ เสียงลม จะเข้าห้องโดยสาร เมื่อขับด้วยความเร็วประมาณ 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง แต่ถ้าต่ำกว่านั้น ก็ไม่ได้มีเสียงลมเข้ามารบกวนถือว่าอยู่ในมาตรฐาน ห้องโดยสารเงียบ เก็บเสียงได้ดี แต่ถ้าเป็นเสียงรถบรรทุก เสียงเครื่องยนต์ที่ดัง เสียงมอเตอร์ไซค์ แน่นอนเสียงก็เข้าอยู่แล้ว

การทำความเร็ว 0 - 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ของ MG MAXUS 9 คันนี้ MG แจ้งว่าใช้เวลา 8.9 วินาที และท็อปสปีดอยู่ที่ 180 กิโลเมตร/ชั่วโมง ส่วนระยะการเดินทางของรถคันนี้ที่เป็นรถไฟฟ้า 100% สามารถเดินทางได้ 540 กิโลเมตร ต่อ หนึ่งการชาร์จ แต่ก่อนออกเดินทางจากกรุงเทพฯ หน้าจอคนขับแสดงตัวเลขที่ 426 กิโลเมตร พอเดินทางไปสระบุรี 110 กิโลเมตร แต่ระยะทางที่แสดงบนหน้าจอรถคันนี้เหลือ 288 กิโลเมตร คำนวณแล้วระยะทางแตกต่างกันประมาณ 30 กิโลเมตร ซึ่งหากจะขับรถไฟฟ้าให้ได้ตัวเลขที่ตามระยะที่แจ้งอาจจะไม่ได้ง่าย อาจจะต้องขับเลี้ยงความเร็วจนเหนื่อย แต่หากจะใช้งานจริงแล้วเพื่อระยะทางไว้บ้างเพื่อความปลอดภัย ตีแล้วรถคันนี้อาจจะขับได้ประมาณ 350-400 กิโลเมตร ขึ้นอยู่กับโหมดการขับขี่ด้วยครับ

สรุป MG MAXUS 9 เป็นรถที่ทันสมัย ระบบค่อนข้างครบ ตอบโจทย์ในแบบรถครอบครัว มีให้เลือก 2 รุ่น เริ่มต้น 2,499,000 บาท และรุ่นท็อป 2,699,000 บาท เรียกว่าเป็นรถตู้ที่เป็นรถไฟฟ้า 100% คันแรกในบ้านเราเลยก็ได้นะครับ

*สามารถชมคลิปรีวิวฉบับเต็มได้ที่ Link ด้านล่างนี้เลยครับ