ใช้งาน All-New Honda CR-V (ES 4WD 5 ที่นั่ง) เหมาะสำหรับใครที่ไม่ชอบ Hybrid

Share on facebook
Share on twitter

Honda CR-V ES เป็นรุ่นถัดจากรุ่นเริ่มต้น ขับเคลื่อน 4 ล้อ ราคา 1,599,900 บาท เมื่อใช้งานจริงแล้ว จะเป็นอย่างไร คุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไป หรือไม่ ตามไปดูกันครับ

เริ่มต้นจากการทดสอบ 0-100 กิโลเมตร / ชั่วโมง ทำเวลาได้ 10.35 วินาที สำหรับเครื่องยนต์ 1.5 Turbo ช่วงรอบต่ำ 0-30 กิโลเมตร / ชั่วโมง ทำงานได้เร็วพอสมควร แต่เมื่อไปถึงความเร็วปลาย ประมาณ 70-100 กิโลเมตร / ชั่วโมง อาจจะใช้เวลานิดนึงครับ

เมื่อเปรียบเทียบรุ่น HR-V ที่เป็นเครื่องยนต์ Hybrid ก็ตาม เสียงรบกวนมากกว่า CR-V ที่เก็บเสียงได้ดีกว่าแน่นอน การเปรียบเทียบกับ CR-V รุ่นก่อน แบบจุดต่อจุด ไม่แปลกที่จะดีกว่าแทบจะทุกจุดเลย

สำหรับ Honda จุดเด่นของเขาคือการขับขี่ที่มั่นใจอยู่พอสมควรเลย ในเรื่องของการเร่ง การควบคุม พวงมาลัย การเปลี่ยนเลน การเข้าโค้ง เฟิร์มมากๆ เลยครับ จึงลองเปลี่ยนเลนบนถนนทางยาวๆ เกาะถนนได้ดี มั่นใจ และขอย้ำว่าเป็นการทดสอบเท่านั้นครับ

เมื่อจะเปรียบเทียบกับรุ่นท็อป และตัวรองท็อป จุดที่แตกต่างแน่นอนคือเรื่องออฟชั่น หนึ่งในจุดที่สำคัญเลยก็คือยางจะไม่เหมือนกัน รุ่นท็อป จะได้ยาง Michelin รุ่นรองจะได้ยาง Toyo Tires ซึ่งหากรู้สึกว่าช่วงล่างไม่ดีเท่ารุ่นที่สูงกว่า ลองเปลี่ยนยางจะช่วยได้ดีไม่มากก็น้อยครับ

การขับโหมด Sport เสียงเครื่องดังเร้าใจ พลิ้วแรง ขับมัน และมีเสียงลมในช่วงความเร็วมากกว่า 120 กิโลเมตร / ชั่วโมง มากกว่า โหมด Normal แต่ถ้าคุณอยากจะประหยัดหน่อยก็ปรับเป็นโหมด Eco ได้ครับ

ลองเปลี่ยนไปขับโหมด Normal การขับขึ้นเขาก็ไปได้เหมือนกัน ซึ่งโหมด Sport จะพลิ้วกว่า และกินน้ำมันมากกว่านิดนึง

ความแตกต่างของเกียร์ของ Honda CR-V ES AWD กับ Honda CR-V e:HEV ES รุ่น 1.5 Turbo มีเกียร์ S – Sport ใต้เกียร์ D และด้านข้างมีปุ่ม ECON คือ Eco นั่นเอง ส่วนรุ่น Hybrid มีปุ่ม DRIVE MODE สามารถเซ็ต เป็นโหมดต่างๆ และด้านล่างมีปุ่ม B ใช้เมื่อขับลงเนิน หากน้ำมันเต็มถัง ดูจากตรงจอจะสามารถขับได้ประมาณ 425 กิโลเมตรครับ หลังจากผมขับด้วยระยะทางประมาณ 100 กิโลเมตร อัตราสิ้นเปลือง 10.2 กิโลเมตร / ลิตร

หน้าจอมีระบบ Honda Lane Watch มาให้โดยเน้นการใช้งาน ไม่มี Blind Spot แต่มีระบบเตือนออกนอกเลน โดยจะดึงกลับมานั่นเองครับ และยังมี Honda Sensing มาให้ครบทุกรุ่น โดยมุมมองส่วนตัวของผมก็แนะนำรุ่นนี้อยู่นะครับ ถือว่า OK เลย

ดีไซน์ภายนอกของคันนี้ เริ่มจากสีดำคริสตัล เข้ากับกระจังหน้าเปียโนแบล็คได้ดีมากๆ ด้านข้างมีจุดนึงที่น่าสนใจ อย่างล้อ มาพร้อมยาง 235/60 R18 ซึ่งถ้าอยากได้ความสปอร์ตอาจจะต้องไปเปลี่ยนล้ออย่าง รุ่นท็อปที่ล้อมาพร้อมดีไซน์สปอร์ตเร้าใจเลย แต่รุ่นนี้เน้นการใช้งานเป็นหลักประหยัดเงินไปประมาณ 150,000 – 200,000 บาท

ด้านท้าย จุดเด่นของคันนี้เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่น Hybrid แล้ว รุ่นนี้จะมียากอะไหล่ให้ ซึ่งรุ่น Hybrid ไม่มีเพราะว่าพื้นที่นี้จะวางอุปกรณ์ Hybrid แทน อีกฟีเจอร์ที่น่าสนใจคือประตูท้ายจะมีปุ่มเมื่อกดค้างไว้จนเป็นสีเขียว แล้วเดินถอยออกไป ประตูจะปิดอัตโนมัติ

ภายในของรุ่น ES คอนโซลหน้าสีดำ มีลายไม้สีน้ำตาลตัดกันดูซอฟต์ ให้ความอบอุ่นมีสไตล์ ส่วนรุ่นท็อปเป็นเฉดสีดำดูสปอร์ต สำหรับเบาะนั่งปรับไฟฟ้า ให้ความคลาสสิค แต่หากอยากได้ความสปอร์ตเบาะคาดด้ายแดงจะต้องขยับไปรุ่นท็อป

คันนี้มีกล้อง 360 องศา ความชัดระดับกลางไปค่อนข้างดี ส่วนฟังก์ชั่นจะไม่สามารถกดเลือกด้านต่างๆ ได้ซึ่งต้องดูแบบภาพรวมอย่างเดียว

เบาะด้านหลังมีพื้นที่นั่งสบายเหมาะเป็นรถครอบครัว ช่วงขา และเหนือศรีษะมีพื้นที่เหลือเฟือ และยังสามารถปรับเบาะเป็นที่วางแขน วางแก้วน้ำได้ และด้านบนยังมีซันรูฟเปิดได้สบายๆ

สรุป Honda CR-V รุ่นใหม่ล่าสุด ถ้ามองหารุ่น 7 ที่นั่งมีรุ่น EL เท่านั้น โดยเบาะแถวที่สามเหมาะสำหรับเด็กพอนั่งได้ ซึ่งมุมมองของผมนั้น หากต้องการรถ 7 ที่นั่ง จะแนะนำรถ MPV 7 ที่นั่งโดยเฉพาะ หรือไปลองสัมผัสรถคันนั้นๆ ก่อนตัดสินใจ ส่วนผู้ที่สนในรถ 5 ที่นั่ง แนะนำ Honda CR-V ES คันนี้ เนื่องจากจะได้ออฟชั่นมากกว่ารุ่นเริ่มต้น ซึ่งถึงแม้จะราคาสูงขึ้นมา แต่จะได้ความคุ้มค่ามากกว่า และไม่จ่ายสูงเกินไปเมื่อเปรียบเทียบกับรุ่นท็อป

Honda CR-V ES ราคา 1,599,000 บาท ส่วน Honda CR-V e:HEV ES 1,589,000 บาท ซึ่งรุ่น Hybrid นี้จะมีราคาถูกกว่า และได้สมรรถนะดีกว่าเนื่องจากมีระบบ Hybrid ติดมาด้วย แต่หากใครไม่ชอบ Hybrid Honda CR-V ES เครื่องยนต์ 1.5 Turbo คันนี้จะตอบโจทย์ได้ดีที่สุดในมุมมองของผมครับ

หลังจากผมขับด้วยระยะทางประมาณ 100 กิโลเมตร อัตราสิ้นเปลือง 10.2 กิโลเมตร / ลิตร

*สามารถชมคลิปรีวิวฉบับเต็มได้ที่ Link ด้านล่างนี้เลยครับ