ทำไมถึงนิยมรุ่นนี้กัน รีวิว BMW 320d M Sport LCI (2023)

Share on facebook
Share on twitter

คันนี้เป็นตัวใหม่ล่าสุดโมเดลปี 2023 ที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อปลายปีที่แล้วด้วยราคา 2,699,000 บาท ซึ่งราคาสูงกว่ารุ่นก่อน 150,000 บาท โดยมีสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไป ได้แก่ ไฟหน้า Adaptive LED ปรับไฟสูงอัตโนมัติ เกียร์ E-Shifter ไม่ได้เป็นแบบก้านอย่างที่เราคุ้นเคยกัน หน้าจอเอ็นเตอร์เทนเมนท์รวมถึงหน้าจอคนขับเป็นแบบ Curve Display อลังการงานสร้าง ดูหรูหรามากๆ เป็นหนึ่งในไฮไลท์ส่วนตัวของผมเลย นอกจากนั้นยังมีระบบความปลอดภัย Driving Assistant ไม่ว่าจะเป็น Lane Departure Warning, Lane Change Warning, Adaptive Cruise Control (Stop & Go) ก็มีให้ สุดท้ายก็คือสีตัวรถคันนี้ที่เป็นไฮไลท์อย่างสีเทา Brooklyn Grey Metallic นั่นเอง

คันนี้อยู่ในกลุ่มซีรี่ย์ 3 ที่สามารถเปรียบเทียบกับ BMW 330e M Sport ราคา 2,949,000 บาท ต่างกัน 250,000 บาท แตกต่างกันที่ เรื่องแรกคือพละกำลังตัวเครื่องยนต์เบนซินคู่มอเตอร์ไฟฟ้า แต่คันนี้เป็นเครื่องยนต์ดีเซลล้วนๆ สมรรถนะในการขับขี่ก็แตกต่างกัน นอกจากนั้นล้ออัลลอย ของ BMW 320d M Sport ขนาด 18 นิ้ว ยางคู่หน้า 225/45 R18 ยางคู่หลัง 255/40 R18 ส่วน BMW 330e M Sport เป็นขนาด 19 นิ้ว ภายนอกภายในแตกต่างกัน โดย BMW 330e M Sport มาพร้อมชุดแต่งดุดันแบบ Pro อีกทั้งมีลำโพงHarman Kardon ซึ่ง BMW 320d M Sport ไม่มี

มุมมองส่วนตัวของผมเรื่องพละกำลังของเครื่องยนต์จะเป็นปัจจัยสำคัญมากที่สุดว่าจะเลือกคันไหนดี หากไม่ชอบรถไฮบริด หรือมีระบบไฟฟ้าในรถ ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม แนะนำว่า BMW 320d M Sport จะตอบโจทย์มากที่สุด แต่ถ้าอยากขับแบบไฮบริดบ้างเพื่อประหยัดน้ำมัน หรือมีสมรรถนะที่ดียิ่งขึ้น โดยรวม BMW 330e M Sport จะดีกว่าหลายอย่าง ส่วนเรื่องออปชั่นผมว่าไม่ได้เป็นปัจจัยสำคัญ ถ้าเราไม่ได้ใช้ระบบต่างๆ รวมถึงชุดแต่งแล้ว ถ้าเป็นผมก็คิดว่าถ้าไม่จำเป็น BMW 320d M Sport ก็ถือว่าโอเค เซฟเงินเยอะอยู่พอควร โดยราคาผ่อนต่อเดือนต่างกันประมาณ 5 พันบาท

หากจะเปรียบเทียบข้ามค่าย BMW 320d M Sport จะมีคู่แข่งโดยตรงอย่าง Mercedes-Benz C220d Avantgarde เป็นต้น

โดยรวมของรถคันนี้คือคุณจะได้ซีรีส์ 3 เหมือนเดิมหมดเลยไม่ว่าจะเป็นกระจังหน้าทรงสปอร์ต ตอนดับเครื่องกระจังจะปิด แล้วตอนเปิดเครื่องกระจังจะเปิดออกมาเป็นกิมมิคของ BMW ส่วนขนาดตัวถังไม่ว่าจะไปความยาวกว้างสูงรวมถึงเส้นสาย ไม่ว่าจะเป็นด้านข้าง ด้านหน้า ด้านหลัง จะคล้ายๆ กัน ในรูปแบบ M Sport ไม่ได้ดุดันถึงขนาด M Sport Pro นั้นเอง ส่วนโลโก้ BMW เป็นแบบใหม่ และคุณดูความสูงของรถจากพื้นจะบ่งบอกถึงความสปอร์ต ซึ่งหากขับตอนน้ำท่วม หรือขับข้ามหลังเต่าต้องระมัดระวังกันบ้าง

อีกฟีเจอร์นึงที่ชอบมากๆ ก็คือ ถ้ามีกุญแจติดตัว และเดินเข้าใกล้รถ จะปลดล็อคให้อัตโนมัติ ยิ่งเมื่อถือของหนักๆ มาด้วย จะอำนวยความสะดวกได้มากทีเดียว แต่ก็ระมัดระวังเรื่องความปลอดภัยกันนิดนึง ด้านองศาการเปิดประตูสำหรับรถทรงสปอร์ตที่ไม่ได้เน้นเป็นรถครอบครัว ด้านหน้ากว้างหายห่วง ด้านหลังจะแคบกว่านิดนึง แต่ถ้าเป็นผู้สูงอายุ จะรู้สึกเบียด หรือว่าแคบนิดนึง พื้นที่ว่างช่วงขา และช่วงเหนือศรีษะ มีพื้นที่ว่างสบายๆ ระดับความสูงของเบาะหลังไม่แตกต่างกับเบาะหน้ามากนัก เบาะหลังเอนไปด้านหลังเล็กน้อย และมีแอร์หลัง พร้อมช่อง USB-C 2 ตำแหน่ง กลางเบาะหลังพับออกมาเป็นที่วางแขน วางแก้วน้ำได้ 2 ช่อง ยิ่งไปกว่านั้นยังสามารถหยับของในกระโปรงหลังผ่านเบาะหลังได้อีกด้วย

ด้านท้ายมีกล้องมองหลัง แต่จะไม่มีกล้อง 360 องศามาให้ เปิดได้ด้วยระบบไฟฟ้าพื้นที่เก็บสัมภาระกว้างกว่า BMW 330e M Sport เหตุผลหลักเลยคือรุ่นนี้ไม่มีแบตเตอรี่ทำให้มีพื้นที่เก็บของมากขึ้น สามารถใส่กระเป๋าเดินทางใหญ่ๆ ได้ 2 ใบเหลือเฟือ แต่ถ้าต้องการใส่ของมากกว่านี้สามารถ พับเบาะหลังสองฝั่งซ้ายขวาลงแต่ไม่ได้เป็นแบบปรับไฟฟ้า นอกจากนั้นด้านท้ายยังมีช่องเก็บของเล็กๆ น้อยๆ อีกด้วย

ภายในรถรุ่นนี้ไม่ได้หวือหวา เน้นการใช้งาน การออกแบบจะเรียบๆ ในโทนสีดำอ่อน หรือว่าสีเทาเข้มตัดกับลายโครเมี่ยม หรือว่าลายสีเงินอย่างแดชบอร์ด เป็นต้น โดยสัมผัสยังเป็นซอฟทัชเหมือนเดิม ซึ่งเหมือนยกภายในรุ่น BMW 330e M Sport มาวางโดยมีเส้นสายแตกต่างกันเล็กน้อยเท่านั้น เบาะเป็นทรงสปอร์ต กระชับตัว ได้ฟิลสปอร์ต เบาะซ้ายขวาจะเป็นแบบไฟฟ้า แต่ฝั่งคนขับจะมีเมมโมรี่ซีท 2 จุด

ไฮไลท์อยู่ที่หน้าจอ สวย อลังการงานสร้างมากๆ เห็นแล้วรู้สึกสบายตา และอำนวยความสะดวก ไม่ว่าจะปรับอุณหภูมิ ดูแผนที่ ระบบความปลอดภัย กล้องมองหลัง ตั้งค่าภาษา ฯลฯ ซึ่งใกล้เคียงกับรุ่น BMW 330e M Sport ที่เคยรีวิวก่อนนี้ ส่วนหน้าจอคนขับสามารถปรับตั้งค่าได้จากปุ่มบนพวงมาลัยที่ควบคุมได้หลากหลาย ด้านคอนโซนกลางดีไซน์เรียบๆ สามารถเปิดออกมา มีระบบชาร์จโทรศัทพ์ไร้สาย USB และที่วางแก้ว ถัดลงมาจะมีปุ่มควบคุมที่อำนวยความสะดวกมากมาย ควมคุมเกียร์ โหมดการขับขี่ มีให้เลือกแบบ ECO PRO, COMFORT, SPORT ซึ่งต่างจาก 330e ที่มีระบบไฟฟ้าเป็นต้น บริเวณแผงควบคุมยังมีเบรกมือไฟฟ้า ถัดจากแผงควบคุมจะเป็นที่วางแขน ที่เปิดเป็นช่องเก็บของ ที่มีช่อง USB C ให้ 1 ช่อง ซึ่งเสียดายที่คันนี้ไม่มีซันรูฟมาให้ด้วย

การทดสอบ 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในโหมด COMFORT ครั้งแรกใช้เวลา 7.4 วินาที ครั้งที่ 2 ใช้เวลา 7.3 วินาที ซึ่งตัวเลขจากทาง BMW คือ 6.9 วินาที ซึ่งมีปัจจัยหลายอย่างเช่น โหมดการขับขี่ สภาพถนน เป็นต้นที่ทำให้ผลออกมาไม่เท่ากัน

การใช้งานการถือว่าแรงใช้ได้ไม่ว่าจะเร่งเครื่องในรอบต้น กลาง สูง ถือว่า OK แต่จากการทดสอบในสภาพที่รถติด การเร่งเครื่องถือว่ายังไม่สมูทเท่าไหร่ ต่างจาก BMW 330e M Sport ที่มีระบบไฟฟ้าช่วยทำให้ขับได้เนียนมากกว่าคันนี้ ซึ่งเมื่อขับด้วยความเร็ว 40-50 กิโลเมตร / ชั่วโมง แบบเรื่อยๆ ในสภาพการจราจรที่ไม่ติดขัด จะขับได้อย่างสบายลื่นไหล แต่หากต้องเบรกและเร่งเครื่องออกไปอีกครั้งจะไม่ค่อยสบายเท่าไหร่

ส่วนการเร่งความเร็วในช่วง 70 – 134 กิโลเมตร / ชั่วโมง ให้ฟิลลิ่ง ความสมูท ได้ดีทีเดียว ซึ่งหากจะเปลี่ยนไปโหมด ECO PRO จะมีอาการหน่วงๆ ขึ้นมาเล็กน้อย แต่ก็ใช้งานได้ใกล้เคียงกัน ซึ่งเมื่อลองเปลี่ยนมาขับโหมด SPORT จะให้ความรู้สึกแรงตั้งแต่สีสันหน้าจอที่เปลี่ยนไป เสียงเครื่องยนต์ที่เร้าใจ และความเร็วก็เร่งได้ทันใจ ส่งให้ความเร็ว 60-135 กิโลเมตร / ชั่วโมง มาได้ในพริบตาทีเดียว และด้วยความสปอร์ตทำให้เกาะถนนมั่นใจในทุกการขับขี่ทั้งทางตรง และเข้าโค้ง

การควบคุมพวงมาลัย ผมชอบพวงมาลัยของ BMW คือหนาจับกระชับมือ แต่น้ำหนักเบา ไม่ต้องใช้แรงเยอะ ซึ่งเป็นสไตล์ของ BMW อยู่แล้ว และยังขับสนุกด้วย Paddle Shift อีกด้วย ด้านมุมมองทัศนวิสัย ทั้งด้านหน้า ด้านข้าง ด้านหลัง กว้างขวาง ถึงแม้รถจะเป็นทรงสปอร์ตก็ตาม ติดอยู่ที่กระจกมองข้างที่จะเล็กไปสักนิด ส่วนระบบความปลอดภัยที่ได้สัมผัส ไม่ว่าจะเป็น Blind Spot เตือนด้วยสัญญาณ ไม่มีเสียงเตือนLane Departure Warning ก็สามารถตั้งค่าได้หลายระดับ เป็นต้น

สุดท้ายคืออัตราสิ้นเปลืองโดยรวมของรถคันนี้ที่ผมขับในเมือง บนทางด่วน รถไม่ติดใช้เวลาขับประมาณ 3 ชั่วโมง เฉลี่ย 18 กิโลเมตร / ลิตร ในโหมด COMFORT และขับโหมด ECO PRO บ้าง ซึ่งระยะทางในการขับหากน้ำมันเต็มถังสามารถวิ่งไกลถึง 1,040 กิโลเมตร กับ BMW 320d M Sport คันนี้

*สามารถชมคลิปรีวิวฉบับเต็มได้ที่ Link ด้านล่างนี้เลยครับ