BMW X3 xDrive20d M Sport เครื่องดีเซล 190 แรงม้า ราคา 3,669,000 บาท คันใหญ่ ดุดัน ให้อารมณ์ Sport

Share on facebook
Share on twitter

Test Drive_BMW X3 xDrive20d M Sport

รถที่ผมจะมารีวิววันนี้คือ BMW X3 xDrive20d M Sport เป็นเครื่องดีเซล ราคาอยู่ที่ 3,669,000 บาท ท่านใดที่ต้องการรถ SUV ที่ดูใหญ่ กว้าง ดุดัน ให้อารมณ์ Sport ทั้งภายนอกและภายใน บอกได้เลยครับว่า BMW X3 คันนี้น่าสนใจมาก ๆ

สำหรับ BMW X3 จะมี 2 รุ่นย่อยให้เลือก นั่นคือเครื่องดีเซล และตัวท็อปที่เป็น Plug in Hybrid ที่มีราคา 3,769,000 บาท แน่นอนว่าราคาสูงกว่า Option ก็จะดีกว่าอยู่ที่ว่าคุณจะเลือกแบบไหนครับ แต่คันที่ผมจะมารีวิววันนี้จะเป็นตัวเครื่องยนต์สันดาปครับ

จุดเด่นของคันนี้นอกจากจะเป็นเครื่องยนต์ดีเซลแล้ว ก็จะมีความ Sport เพราะอยู่ภายใต้คอนเซ็ปต์ชุดแต่ง M Sport และภายนอกของคันนี้ บอกได้เลยว่าดูใหญ่ และกว้างมากรวมทั้งภายในก็เช่นเดียวกัน แต่ BMW X3 ไม่ได้เด่นเพียงแค่เรื่องนี้เท่านั้น Option ทีมีมากับตัวรถก็เด่นไม่แพ้กัน

รถที่สามารถนำมาเปรียบเทียบกับ BMW X3 ได้ก็จะมี Mercedes Benz GLC รุ่น 220d หรือ 300e ซึ่งถ้าเทียบกันแล้ว Mercedes Benz จะมีราคาที่สูงกว่าประมาณ 100,000 บาท ซึ่งในราคา 1 แสนบาทของรถกลุ่มนี้ก็ถือว่าไม่ได้เยอะสักเท่าไหร่ หรือถ้าคุณยังคิดว่าความใหญ่ของ BMW X3 ยังตอบโจทย์ไม่พอ ทาง BMW ก็ยังมีอีกหลายรุ่นให้เลือก หรือถ้าต้องการตัวถังที่เล็กกว่านี้ก็ยังมีกลุ่ม X1 หรือต้องการตัวถุงที่ใหญ่กว่านี้ก็จะเป็นกลุ่ม X5 แต่ราคาก็จะอยู่ที่ 5-6 ล้านโดยประมาณ สำหรับ BMW กลุ่ม SUV คุณจะต้องดูกลุ่มที่เป็นเลขคี่คือ เช่น X1, X3, X5, X7 แต่ถ้าเป็นกลุ่มเลขคู่ เช่น X2, X4, X6 จะเป็นกลุ่ม SUV ที่มีด้านหลังเป็นรูปแบบ Coupe

BMW X3 ถ้าเราดูจากด้านหน้าจะดูมีเสน่าห์มาก ๆ ด้วยความใหญ่ของกระจังหน้า ทำให้องค์ประกอบโดยรวมดูดุดัน กระจังหน้าจะเป็นสีดำ Piano Black และมีซี่ช่องระบายอากาศที่ดูสวยมาก ๆ เวลาสตาร์ทช่องระบายอากาศจะเปิดอัตโนมัติ เพื่อระบายความร้อน

ในส่วนของไฟหน้าก็จะล้อกับกระจังหน้าได้เป็นอย่างดี เป็นระบบ Adaptive LED ซึ่งเป็นระบบอัจฉริยะของ BMW

สิ่งที่น่าเสียดายของคันนี้คือไม่มีกล้องด้านหน้าติดตั้งมาให้ คุณจะต้องไปดูตัวท็อปที่เป็น Plug in Hybrid ซึ่งถ้าพูดถึงราคา 3,600,000 ก็น่าจะมีติดตั้งมาให้เลย

ด้านข้างมีขนาดตัวถังกว้างและใหญ่อยู่พอสมควร แต่ถ้าดูจากด้านหน้าจะให้ความรู้สึกที่ดูใหญ่กว่า การใช้งานพื้นที่โดยรวมของตัวรถถือว่าโอเคมาก ๆ ความสูงจากพื้นอยู่ในตำแหน่งที่พอดี แต่จะไม่มีบันไดให้เหยียบขึ้น ซึ่ง BMW จะไม่มีบันไดให้อยู่แล้ว แต่ถ้าใครต้องการบันได อาจจะต้องไปดู Mercedes Benz ที่มีบันไดให้ แผงกาบด้านที่เหยียบตรงประตูจะมีการตกแต่งโลโก้ M Sport

ล้อจะมีขนาด 20 นิ้ว 245/45 ยางที่ติดตั้งมาให้จะเป็นยี่ห้อ Bridgestone Alenza จุดสังเกตุอีกอย่างหนึ่งของรถคันนี้คือ ยางด้านหน้ากับด้านหลังจะเป็นคนละขนาดที่ถือว่าเป็นจุดไฮไลท์ของ BMW เพื่อให้รถมีสมรรถนะที่ดีที่สุด ล้อด้านหลังจะเป็นขนาด 20 นิ้วเท่ากันแต่ยางจะเป็นขนาด 275/40 ส่วนเรื่องดีไซน์ของล้อดุมล้อจะมีโลโก้ M Sport ในความคิดของผมลายของล้อมันยังไม่สวยที่สุด เพราะอยากให้ดู Sport มากกว่านี้ แต่โดยรวมถือว่าโอเคครับ ในส่วนนี้ก็อยู่ที่ความชอบของแต่ละคนครับ เพราะดีไซน์ที่ให้มาจะดูเป็นรถครอบครัวมากกว่าให้ความเป็น Sport และสิ่งที่น่าเสียดายของในส่วนล้อคือ คาลิปเปอร์ ไม่ได้ตกแต่งเป็น M Sport มาให้ อาจจะต้องไปดูตัวท็อปที่เป็น Plug in Hybrid กันครับว่าจะมีมาให้หรือไม่

ที่เปิดประตูมี Keyless Entry ให้ทั้งด้านหน้า และด้านหลังอำนวยความสะดวกได้ดี กระจกมองข้างจะเป็นสีเดียวกับ Body ตัดด้วยสีดำ Piano Black ส่วนด้านท้ายจะเป็นทรง SUV

รถคันนี้ถึงจะเป็น SUV แบบรถครอบครัว แต่สำหรับผมมันดู Sport มาก ๆ โดยดูได้จากหลายองค์ประกอบไม่ว่าจะเป็นไฟท้ายที่ดู เร้าใจ ดุดัน Diffuser และท่อไอเสียทั้ง 2 ท่อ เป็นสี Piano Black ตัดกับสี Body ได้เป็นอย่างดี ไฟเบรคดวงที่ 3 ที่ติดกับกับสปอยเลอร์ที่เป็นเอกลักษณ์ของ BMW

กล้องมองหลังให้เพียงจุดเดียวตำแหน่งเหนือป้ายทะเบียน การเปิดท้ายรถคันนี้รองรับเซ็นเซอร์การใช้เท้าแกว่งผ่านได้ ประตูท้ายรถถือว่าเปิดเร็วใช้ได้เลยครับ

พื้นที่ด้านหลังมีขนาดกว้าง สามารถใส่กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ได้ถึง 2 ใบสบาย ๆ แถมยังมีพื้นที่เหลือ มีช่องเก็บอุปกรณ์ใต้ฝารองที่สามารถเปิดขึ้นมาได้อีก สำหรับสิ่งอำนวยความสะดวกในด้านหลังจะมีช่องเสียบไฟให้ 1 ช่องและมีไฟส่องสว่างให้ และถ้าคุณอยากได้พื้นที่เพิ่มเติมสามารถพับเบาะตอนหลังลงได้โดยกดจากปุ่มด้านข้างฝั่งซ้าย และขวา เบาะจะพับลงเองอย่างสมูท

ภายในของ BMW X3 โดยรวมวัสดุจะเหมือนกับ BMW รุ่นอื่น ๆ ที่เราคุ้นเคยกัน โทนสีโดยรวมจะเป็นสีดำหรือสีเทาเข้ม ให้ความ Sport ส่วนที่เป็นหนังของเบาะและคอนโซลจะเย็บด้วยด้ายสีฟ้า วัสดุในส่วนคอนโซลหน้าจะเป็น Soft Touch ทั้งหมด ฝั่งคนนั่ง Dash Board จะยื่นออกมาเพื่อให้คนนั่งอยู่ในตำแหน่งตรงกลางของตัวรถมากที่สุด เพิ่มความสมดุลของตัวรถช่วยในการทรงตัว การเข้าโค้งได้ดียิ่งขึ้น รวมทั้งอัตราเร่ง เป็นการเพิ่มสมรรถนะในด้านเทคนิคอีกอย่างหนึ่งครับ

รูปทรงเบาะคู่หน้าจะเป็นทรง Sport ปรับไฟฟ้าทั้งคู่ Memory Seat จะมีให้ 2 ตำแหน่งเฉพาะฝั่งคนขับเท่านั้น เบาะฝั่งคนนั่งในส่วนต้นขาสามารถดึงยืดออกมาได้ทำให้เหยีดขาได้มากขึ้น เบาะเวลานั่งจะรู้สึกว่าล็อคตัวอยู่ในระดับนึง แต่ในส่วนที่พิงหลังจะไม่เรียบจะมีลักษณะนูนออกมาเล็กน้อย ซึ่งจุดนี้บางท่านชอบหรืออาจจะไม่ชอบ แต่จากที่ผมได้ลองนั่งขับแรก ๆ ก็จะรู้สึกรำคาญ แต่พอขับไปเรื่อย ๆ ก็จะคุ้นชินไปเอง

พวงมาลัยของ BMW ส่วนตัวผมชอบมาก เพราะมันนุ่น เบา สบายมือ ควบคุมได้ง่าย และมั่นคง แต่สิ่งที่น่าเสียดายก็คือพวงมาลัยไม่ได้เป็บแบบปรับไฟฟ้า แผงควบคุมบนพวงมาลัย ฝั่งซ้ายจะเป็น Cruise Control ฝั่งขวาจะเป็นตัวปรับ Entertainment รวมทั้งมี Paddle Shift ให้ ส่วนหน้าจอฝั่งคนขับก็เป็นไปตามเอกลักษณ์ของ BMW ซึ่งจะให้อารมณ์ความ Sport และสวยงาม ถัดขึ้นมาด้านบนจะมี Head up Display ให้ซึ่งถือว่าดีมาก ๆ เพราะถ้าคุณจะเปรียบเทียบกับรถรุ่นอื่น ๆ อย่างเช่น Mercedes Benz GLC จะไม่มีให้

หน้าจอ Entertainment สามารถควบคุมได้ 2 แบบ คือ Touch Screen ที่หน้าจอ หรือปรับที่ Pad ตรงตำแหน่งเกียร์ ในหน้าจอ Entertainment จะสามารถใช้ดูแผนที่ และเชื่อมต่อกับ Apple CarPlay และ Android Auto ได้ รวมทั้งเช็ค Status ต่าง ๆ ของตัวรถ นอกจากนี้เรายังปรับ Setting ของตัวรถไม่ว่าจะเป็นเรื่อง Ambient Light การปรับต่าง ๆ ของตัวรถ ปุ่มสีเขียวถัดลงมาจากหน้าจอจะเป็นปุ่มควบคุมระบบความปลอดภัย ซึ่งคันนี้จะมี Blind Spot, Len Departure, Len Change ในส่วนของ Len Departure เราสามารถปรับความหนัก-เบาของการเตือนได้ ระบบปรับอากาศเป็นแบบดิจิตอล Dual Zone

ช่องเก็บของตรงเกียร์จะเปิดยากนิดหน่อย เปิดขึ้นมามีช่องเก็บของ ที่วางแก้ว 2 ช่อง และช่องเสียบ DC และ USB ระบบเกียร์จะเป็นสไตล์ BMW มี ระบบ Parking Assist ปุ่ม Push Start และปุ่มปรับโหมดการขับขี่ Eco Pro, Comfort, Sport พร้อมเบรคมือไฟฟ้า เวลาปรับโหมดการขับขี่ระบบจะมาแสดงอยู่ที่หน้าจอ ซึ่งสามารถปรับรายละเอียดการขับขี่เพิ่มเติมในแต่ละโหมดได้

ที่วางแขนของคนขับวางอยู่ในตำแหน่งที่พอดี เปิดขึ้นมาจะมีช่องเก็บของที่กว้าง แต่จะจะเล็กกว่าของ Mercedes Benz GLC นิดหน่อย ในช่องเก็บของจะมีช่องเสียบ USB Type C มาให้ 1 ช่อง บนหลังคาจะมี Sunroof เปิดปิดจากแผงไฟส่องสว่างบนเพดานด้านหน้า

พื้นที่ด้านหลังมีพื้นที่ Leg Room กว้างสบายระดับการนั่งเท่ากับคนขับด้านหน้า ความสบายในการนั่งจะสู้ด้านหน้าไม่ได้เนื่องจากตัวเบาะจะแข็งกว่าเล็กน้อย พร้อมมีระบบปรับอากาศแบบดิจิตัล และช่องเสียบ USB Type C ให้ 2 ช่อง ตรงกลางเบาะสามารถดึงที่วางแขนลงมาได้ จะมีที่วางแก้วให้ 2 ช่อง ไม่มีช่องเก็บของให้ แต่สามารถดึงลงมาอีก Step เพื่อเชื่อมกับที่เก็บของท้ายรถได้ แผงประตูด้านข้างจะมี Ambient Light ให้เหมือนกับด้านหน้า และมีที่บังแดดทั้ง 2 ฝั่ง

ด้านการขับขี่ เราจะมาลองระบบ Parking Assist กันก่อนครับ เนื่องจากคันนี้มีแค่กล้องมองหลังเราจะไม่สาสารถเห็นภาพรอบคันได้ และข้อเสียของ Park Assist คือเราจะไม่สามารถควบคุมจังหวะของมันได้ เมื่อลองขับจนเจอช่องจอดจะมีเสียงเตือนและจะมีสัญลักษณ์ P ที่หน้าจอเพียงกดและปล่อบเบรคระบบจะเข้าช่องจอดเองโดยอัตโนมัติ และสามารถเหยียบเบรคเพื่อยกเลิกคำสั่งได้

BMW X3 xDrive20d M Sport ใช้เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร TwinPower Turbo ให้กำลังสูงสุด 190 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร สิ่งที่ผมชอบของคันนี้คือความกว้าง และความใหญ่ของตัวรถ เวลาขับเราจะมองเห็นฝากระโปรงหน้าอย่างชัดเจน

ในด้านอัตราเร่งช่วงสปีดต้นจะใช้เวลาสักนิด มีอาการชะงัก และพุ่งอยู่บ้าง ซึ่งเรื่องนี้ถ้าเทียบกับ Mercedes Benz GLC จะทำได้ดีกว่า แต่เมื่อขับไปประมาณ 40-50 กม./ชม. ขึ้นไปรอบจะมาต่อเนื่องและทำอัตราเร่งได้ดีทันใจ ระบบเรคทำมาได้ดี นุ่มและเอาตัวรถอยู่ ช่วงเหยียบเบรคชะลอรถและเติมคันเร่งไปต่อจะไม่มีอาการหน่วง แต่ถ้าอยู่ในความเร็วต่ำอาจจะพุ่งเล็กน้อย ขึ้นอยู่กับความคุ้นเคยในการขับขี่ของเรา

Handling นุ่มสบาย Grip นุ่มนวลควบคุมง่าย Head up Display มองเห็นได้ชัดเจน ทัศนะวิสัยของคันนี้กว้างมองเห็นด้านหน้าและด้านหลังได้ชัดเจน

ช่วงล่างเกาะถนนดี การเข้าโค้งทำได้ดีตามแบบฉบับ BMW แต่ถ้าจะเปรียบเทียบกับ Mercedes Benz ผมคิดว่าของ BMW ทำได้นุ่มกว่า อยู่ที่ความชอบของแต่ละท่านนะครับ

ถ้าขับอยู่ในเมืองใช้เพียงโหมด Comfort หรือ Eco Pro ก็เพียงพอ หรือถ้าจะทำเวลา หรือขับอยู่ต่างจังหวัดก็ปรับเป็นโหมด Sport ก็จะทำความเร็วได้ดียิ่งขึ้นแต่ก็จะแลกมาด้วยการเผาผลาญน้ำมันที่มากกว่า

การเก็บเสียงในตัวรถถือว่าทำมาได้ดี ผมลองขับภายในรถเงียบมากครับ แต่อาจจะมีเสียงลมเมื่อขับในความเร็ว 120 กม./ชม. ขึ้นไป ส่วนเครื่องเครื่องยนต์จะได้ยินเวลาเราเร่งอยู่บ้างเนื่องจากเป็นเครื่องยนต์ดีเซล

อัตราสิ้นเปลืองจากที่ได้ลองขับมาสักระยะ หน้าจอโชว์การใช้เชื้อเพลิงอยู่ที่ 11.9 กม./ลิตร ซึ่งถ้าเราปรับไปที่โหมด Eco Pro ก็จะประหยัดกว่านี้

สามารถชมคลิปรีวิวฉบับเต็มได้ที่ Link ด้านล่างนี้เลยครับ