รีวิวลองขับใช้งาน Tank 500 HEV ราคา 2.049 – 2.269 ล้านบาท

Share on facebook
Share on twitter

Tank 500 ติดตั้ง เครื่องยนต์เบนซิน 2.0L พร้อมกับระบบเทอร์โบแปรผัน 244 แรงม้า แรงบิดสูงสุดอยู่ที่ 380 นิวตันเมตร ส่วนมอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังสูงสุด 106 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 268 นิวตันเมตร แบตเตอรี่ขนาด 1.76 kWh ตำแหน่งแบตอยู่ใต้เบาะแถวที่ 3 ขับเคลื่อนด้วยเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด

ภายนอกของ Tank 500 ความกว้าง 1,934 มิลลิเมตร ความยาว 5,078 มิลลิเมตร ความสูง 1,905 มิลลิเมตร และระยะฐานล้อ 2,850 มิลลิเมตร ความสูงจากพื้นถึงตัวรถ 224 มิลลิเมตร เปรียบเทียบมิติกับกลุ่มของ Volvo XC90, BMW X5, BMW X 7, Mercedes-Benz GLE ด้านสีมีให้เลือก 4 สี ได้แก่ ขาว ดำเทา และสีใหม่ เทาคริสตัล เฉพาะรุ่นท็อป คือรุ่น Ultra เท่านั้น นอกจากนั้นยังมีสีแดง แต่เป็นสีของรถที่เอามาแบบทดลองเซอร์เวย์ ส่วนภายในมีสีดำ และสีเบจ ให้เลือกครับ

เมื่อพกกุญแจเดินเข้าใกล้ ขณะที่รถล็อคอยู่ มันจะปลดล็อกให้อัตโนมัติ และกุญแจสวยเป็นแบบโลโก้โดยส่วนตัวผมชอบมาก อีกจุดหนึ่งคือตรงบันไดเปิดมาเป็นแบบไฟฟ้าเลย ผมชอบเหมือนกัน แต่ข้อสังเกตอย่างหนึ่ง คือด้านท้าย เปิดท้ายแบบรถแอดเวนเจอร์ ฝาท้ายมีช่องเก็บของอีกด้วย แต่ต้องมีพื้นที่ด้านท้ายกว้างเมื่อต้องการเปิดให้กว้างที่สุด เวลาปิดประตูจะดูดเข้าไป

ภายในชอบโทนโดยรวม สีสวย คอนโซนหน้าด้านบนวัสดุเป็นซอฟท์ทัช แต่ถัดลงส่วนลายไม้เป็นพลาสติก เปรียบเทียบกับราคาแล้ว มุมมองส่วนตัวคิดว่าควรเป็นแบบซอฟท์ทัชทั้งหมดเลย หรือถ้าเป็นลายไม้วัสดุน่าจะดีกว่านี้ ด้านโทนสีตัดกับโครเมียมด้านล่างสวยมาก เบาะนั่งสบายครับ ส่วนหน้าจอหลักมีขนาดใหญ่ควบคุมออฟชั่นรถต่างๆ ทั้งหมด และสามารถปรับเบาะให้นวดได้ด้วย

ไฮไลท์อย่าง โหมด 4x4 Offroad ได้ลองตอนฝนตก หน้าจอจะเห็นภาพใต้ท้องรถ ซึ่งเป็นภาพจากกล้องด้านหน้า และกล้องด้านข้าง ที่ประมวลภาพมาแสดงให้เห็น จะทำงานเมื่อความเร็วของรถไม่เกิน 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ถ้าขับความเร็วเกินมันจะตัดหน้าจอสู่ระบบปกติ

ทดลองขับ 0-100 กิโลเมตร กับน้ำหนักบรรทุก 3 คน รวมประมาณ 190 กิโลกรัม ทั้งหมด 4 รอบ เริ่มด้วย

Normal Mode รอบแรก ทำความเร็วได้ 8.21 วินาที
Normal Mode รอบสอง ทำความเร็วได้ 9.12 วินาที
Sport Mode รอบแรก ทำความเร็วได้ 9.04 วินาที บนสภาพถนนเปียก และมีฝนตก
Sport Mode รอบสอง ทำความเร็วได้ 8.33 วินาที บนสภาพถนนเปียก และมีฝนตก

ทดลองขับ 60-120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ขณะฝนตกเล็กน้อย ได้ความเร็วพอสมควร ด้วยเครื่องยนต์ไฮบริดของรถจีนจะเน้นให้เครื่องยนต์แรงขึ้นไม่ประหยัดมากนัก ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับรถค่ายญี่ปุ่นจะแตกต่างกัน ส่วนการขับจากความเร็วต่ำ เพื่อดูอัตราการเร่งถือว่าโอเค เมื่อได้ความเร็วประมาณ 95 กิโลเมตร/ชั่วโมง จะลดลงความเร็วให้เหลือ 85 ถึง 90 กิโลเมตร/ชั่วโมง เมื่อเข้าโค้งมีอาการโยนเหวี่ยงพอสมควร ซึ่งรถคันนี้เป็นรถที่มีเบาะนั่ง 3 แถว ค่อนข้างใหญ่ ขณะเข้าโค้งหรือเลี้ยวต้องลดความเร็วให้ช้าหน่อยนะครับ เพราะว่าอาจจะไม่ได้เกาะถนนได้ดีมากนัก

การขับ Normal Mode ความเร็ว 0 - 70 กิโลเมตร/ชั่วโมง เครื่องเดินเนียนๆ เร่งความเร็วต่อถึง 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ไม่ได้แรงแบบสปอร์ต ซึ่งก็โอเค เมื่อลองปรับเป็น Sport Mode ความเร็วต้นมาค่อนข้างเร็วในระดับหนึ่ง แต่หากเหยียบในช่วงความเร็ว 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง จะพลิ้วกว่าโหมดธรรมดา ซึ่งรถที่มีขนาดใหญ่นี้ เป็นรถครอบครัว ก็ไม่ได้เหมาะกับการที่จะต้องซิ่งอยู่บนถนน คงไม่ได้ตอบโจทย์แล้ว เมื่อขับเข้าโค้งช่วงล่างการเกาะถนนอยู่ในระดับกลาง ตอนเหยียบเบรกลึกนิดนึงเหมือนหน้าเราจะพุ่งไปด้านหน้าเล็กน้อย ลองขับข้ามหลังเต่าที่ความเร็วประมาณ 40 กิโลเมตร/ชั่วโมง กระแทกอยู่บ้าง มีรู้สึกสะเทือนอยู่บ้าง

ทัศนวิสัยในการขับขี่ของรถคันนี้กว้าง มองกระจกด้านหลัง มองกระจกด้านข้างใหญ่พอสมควร การควบคุมพวงมาลัย ผมจะไม่ค่อยชอบเพราะว่าพวงมาลัยไม่สามารถล็อคนิ้วเราได้เมื่อจะหักโค้ง หรือว่าจะเลี้ยว เป็นต้น ซึ่งมือผมก็เล็กนิดนึง สำหรับใครที่มือใหญ่จะมีกริปที่ดีกว่า เพราะก้านจับพวงมาลัยซ้ายขวาไม่มีร่องให้จับกระชับมือ ซึ่งจะคล้ายพวงมาลัยของ Haval Jolion ครับ ส่วนการปรับพวงมาลัยคันนี้เป็นแบบไฟฟ้าปรับได้ 4 ทิศทาง ขึ้น-ลง เข้า-ออก

การใช้งานไฟเลี้ยว เป็นข้อสังเกตอีกอย่างหนึ่ง ที่ส่วนตัวผมไม่ค่อยชอบเลย คือเมื่อให้สัญญาณไฟเลี้ยวเสร็จแล้ว จะต้องปรับก้านไฟเลี้ยวให้ลงล็อก บางครั้งต้องมาโฟกัสกับเรื่องนี้มากจนเกินไปไม่งั้นไฟเลี้ยวจะไม่ปิด

เบาะหน้านั่งสบาย เมื่อลองนั่งเบาะแถว 2 กว้างสบายพื้นที่เหลือเฟือ แต่ต้องเอนเบาะเล็กน้อยถึงจะนั่งสบาย ด้านข้างมีม่านบังแดดให้เป็นออปชั่นที่โอเค แอร์ก็โอเค

พื้นที่เบาะที่ 3 พื้นที่จะขึ้นอยู่กับการปรับเบาะแถว 2 ที่จะมีผลทำให้แถวหลังกว้างหรือแคบ ซึ่งผมแนะนำว่าใช้แค่ 2 แถว ส่วนเบาะแถว 3 ใช้เมื่อจำเป็นจริงๆ เพราะเบาะแถว 3 ผมคิดว่าประสิทธิภาพในการใช้งานโดยรวมมันจะลดลงไปเยอะอยู่พอควร

เรื่องพื้นที่เหนือศรีษะ ผมสูง 170 ซม. เฮดรูม จะไม่ค่อยเหลือสักเท่าไหร่ ส่วนข้อดีของเบาะแถว 3 คือมีที่ล็อคเข็มขัดนิรภัยที่เป็นระเบียบ และปรับเบาะได้ด้วยระบบไฟฟ้า

อัตราสิ้นเปลืองของรถคันนี้ แบ่งเป็น 2 ช่วง ช่วงแรกขับปกติทั่วไปมีอัตราสิ้นเปลืองประมาณ 17.1 ลิตร ต่อ 100 กิโลเมตร หลังจากนั้นเป็นช่วงหลังที่ขับทดสอบหลากหลายอัตราสิ้นเปลีองประมาณ 13.1 ลิตร ต่อ 100 กิโลเมตร เมื่อคำนวณแล้วตัวเลขกินน้ำมันที่ประมาณ 6-9 กิโลเมตร/ลิตร ก็ถือว่าไม่ได้ประหยัด แต่ขอย้ำว่ายังไม่ได้มีโอกาสขับแบบระยะไกลๆ หรือขับแบบนานๆ นะครับ

*สามารถชมคลิปรีวิวฉบับเต็มได้ที่ Link ด้านล่างนี้เลยครับ