All-New Mitsubishi Triton (2023) เปิดประสบการณ์สัมผัสมิติใหม่เต็มวัน

Share on facebook
Share on twitter

วันนี้ผมอยู่กับ All-New Mitsubishi Triton (2023) หนึ่งวันเต็มๆ กับ All-New Mitsubishi Triton ดับเบิ้ล แค็บ รุ่น Plus 2.4 Ultra AT 2WD ราคา 1,027,000 บาท

All-New Mitsubishi Triton มีให้เลือกหลายรุ่นอย่างรุ่น ดับเบิ้ล แค็บ 2.4 PRIME 4WD เกียร์ Manual ราคา 1,016,000 บาท สีขาวมุก (White Diamond) เพิ่มเงิน 10,000 บาท ส่วนรุ่น ซิงเกิ้ล แค็บ สี Blade Silver, Graphite Gray, Jet Black Mica ต้องเพิ่มเงิน 7,000 บาท

All-New Mitsubishi Triton (2023) มีราคาสำหรับรุ่นต่างๆ ดังนี้
ราคาจำหน่าย All New MITSUBISHI TRITON Double Cab
- รุ่น Plus 2.4 Pro ราคา 820,000 บาท
- รุ่น Plus 2.4 Prime ราคา 893,000 บาท
- รุ่น Plus 2.4 Prime AT ราคา 938,000 บาท
- รุ่น Plus 2.4 Ultra ราคา 982,000 บาท
- รุ่น Plus 2.4 Ultra AT ราคา 1,027,000 บาท


ราคาจำหน่าย All New MITSUBISHI TRITON Single Cab
- รุ่น 2.4 Pro 4WD ราคา 699,000 บาท
- รุ่น 2.4 Pro 4WD AT ราคา 749,000 บาท

อัตราสิ้นเปลืองในการทดสอบ จากกรุงเทพฯ ไปสระบุรี เฉลี่ย 12 กิโลเมตร / ลิตรครับ ซึ่งเป็นแค่ช่วงหนึ่งระหว่างการเดินทาง เพราะมีสื่อมวลชนหลายท่านร่วมทดลองขับไปด้วยกัน บางท่านขับที่อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 14 กิโลเมตร / ลิตร ซึ่งก็มีหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นสภาพถนน สภาพอากาศ การขับขี่ เป็นต้น โดยอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยจะอยู่ที่ประมาณ 11 – 14 กิโลเมตร / ลิตร อีกทั้ง อีโค สติ๊กเกอร์ จาก มิตซูบิชิ ประเทศไทย ระบุกอัตราสิ้นเปลืองว่า รถรุ่น ดับเบิ้ล แค็บ 14.5 กิโลเมตร / ลิตร ส่วน ซิงเกิ้ล แค็บ 14.9 กิโลเมตร / ลิตร

มิตซูบิชิ ประเทศไทย เน้นทำตลาด All-New Mitsubishi Triton ในกลุ่มคอมเมอร์เชียล เป็นหลัก คือกลุ่มรุ่น ดับเบิ้ล แค็บ ยกสูง ส่วนรุ่นอื่นๆ รอลุ้นกันปลายปี ในช่วงมอเตอร์ เอ็กซ์โป และรุ่น Athlete จะมาช่วงปีหน้า คาดการณ์ ไว้ช่วงมอเตอร์โชว์ ครับ

การออกแบบ โดยรวม โดยเฉพาะด้านหน้า เมื่อเทียบกับตอนเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ฟิลลิ่งค่อนข้างแตกต่างกัน ผมว่าพอมาเห็นคันนี้แบบใช้งานจริงคือสวยเลยนะ ถึงแม้ออฟชั่นบางส่วนถูกตัดออกไป แต่โดยรวมถือว่าใช้ได้เลย ซึ่งจะมี 2 สีที่เห็นตอนนี้ คือ สีเทา กับสีขาว บอกเลยว่า สวยทั้งคู่

ด้านข้างโดยรวมถือว่าโอเค ทรงของรถโอเคนะ การเปิดฝาท้ายนั้น ค่อยข้างหนัก แต่ถ้าอยากให้เบามือ ก็มี สปริง ช่วยให้รองรับน้ำหนัก ได้ดีขึ้น ซึ่งต้องจ่ายเงินเพิ่มอีกประมาณ 2,000 - 3,000 บาท หรือลองติดต่อที่โชว์รูมขอเป็นของแถมในตอนจองรถครับ

ภายใน หลังจากที่ได้อยู่มาหนึ่งวัน รู้สึกได้เลยว่า ข้างในมีขนาดใหญ่ กว้างขวาง หน้าจอ ตัวเลข คอนโซล แดชบอร์ดใหญ่ตอบโจทย์ มากๆ สำหรับผู้สูงอายุ จะกดปุ่มปรับฟังก์ชั่นต่างๆ ได้ค่อนข้างโอเคเลย

จากการใช้งาน เริ่มจากการเร่ง ในการขับขี่ ในความเร็วต่ำ 0-40 กิโลเมตร / ชั่วโมง อัตราเร่งดี แต่จากจุดสตาร์ท ต้องรอรอบนิดนึง อาจจะต้องเหยียบนิดนึง ความเร็วไม่ได้มาทันที ช่วงล่างนุ่ม ขับในเมืองพื้นดำ ลาดยางทางเรียบ ได้สบายๆ แต่ถ้าขับบนถนนต่างจังหวัด มีหลุม ไม่เรียบ ก็จะมีการกระแทกนิดนึง แต่ยังไงการซับแรงกระแทกดีกว่ารุ่นก่อนแน่นอน

พวงมาลัยในรถคันนี้ สามารถปรับพวงมาลัย ขึ้น-ลง เข้า-ออก ได้ครับ แต่เป็นแบบไฮโดรลิก ให้ความรู้สึกนุ่ม กระชับมือ แต่ เวลาจะเลี้ยวรู้สึกว่าฟิลลิ่งไม่ค่อยเนียนสักเท่าไหร่ ถ้าเป็นพวงมาลัยแบบไฟฟ้าในรุ่นท็อปจะเนียนมากกว่านี้เยอะเลย โดยทาง มิตซูบิชิ ให้เหตุผลเกี่ยวกับพวงมาลัยไฮโดรลิกว่า การดูแลรักษาง่าย ค่าใช้จ่ายไม่มาก โอกาสที่จะเสียมีน้อยกว่าพวงมาลัยไฟฟ้า

ผมได้นั่งขับมาประมาณชั่วโมงครึ่ง ยังสบายๆ ไม่รู้สึกเมื่อย ทัศนวิสัยในการขับขี่ กว้างขวาง แต่เมื่อมองด้านหลังติดที่พิงศรีษะ อาจจะไม่ได้เห็นกว้างมาก จริงๆเป็นเรื่องปกติกับกระบะทั่วๆไปครับ ส่วนการเก็บเสียง ทำได้ดี เงียบมาก จะได้เสียงเครื่องยนต์บ้าง แต่เสียงรบกวน เสียงลม เสียงรถบรรทุก เสียงรถข้างๆ มอเตอร์ไซค์ เป็นต้น ถือว่าเงียบใช้ได้เลยครับ

สำหรับกล้อง 360 องศา ชัดมาก ภาพที่เห็นให้ความชัดเจน ใช้ ได้ในหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น การถอย หักวงเลี้ยวจะมีเส้นปรับระยะตามพวงมาลัย เป็นต้น และน่าเสียดายอีกอย่างคือ กล้องจะตัดการทำงานเมื่อความเร็วสูงกว่า 10 กิโลเมตร / ชั่วโมง จริงๆแล้วกล้องมาใช้หรือเน้นสำหรับ Off-Road ครับ

เวลาเหยียบแป้นคันเร่ง หรือเบรกจะใช้ น้ำหนัก เยอะอยู่เหมือนกัน เมื่อเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์ โดยปกติจะเหยียบ แค่ 20 - 30% ก็จะเบรกหยุดแล้ว แต่ สำหรับรถคันนี้ ต้องออกแรงประมาณ 60 - 70% เลย ถึงจะแบบได้ผล หรือเมื่อจะเร่ง ก็ต้องเหยียบลึกเหมือนกัน

ส่วนเบาะด้านหลังจากที่ได้นั่ง พื้นที่ช่วงขากว้างขวางสบายๆ วัสดุของเบาะเหมือนกับด้านหน้า แต่เมื่อมานั่งแรกๆ เบาะหลังให้ความรู้สึกชัน เมื่อผ่านไปสักระยะก็ชินไปเองและไม่ได้รู้สึกชันเท่าไหร่ ซึ่งหากคุณมีโอกาสไปทดลองขับ ต้องลองมานั่งด้านหลังนานๆ เพื่อสัมผัสถึงความรู้สึกอย่างแท้จริงว่าดีหรือไม่ นอกจากนั้นยังมีช่องระหว่างเบาะกลางที่ต้องออกแรงใช้มือดึงอย่างมาก ถ้ามีเชือกช่วยให้ดึงออกมาง่ายขึ้นจะดีกว่านี้ อีกทั้งยังมีช่องเก็บมือถือหรือแท็ปเล็ตที่หลังเบาะคู่หน้าอีกด้วย ซึ่งลองแล้วใช้ได้จริง ด้านบนมีช่องลมเหมือนเป็นแอร์หลัง แต่พอใช้งานจริงๆ แล้วจะ ไม่ได้ เย็น เหมือนกับด้านหน้า ให้ความรู้สึกเหมือนมีลมอย่างเดียวก็ว่าได้ครับ ถ้า รู้สึกว่าร้อน ต้องปรับ อุณหภูมิด้านหน้า แต่พอปรับแล้วก็เย็นเลยครับ

มุมมองส่วนแผงประตู ด้านข้างช่องต่างๆ สามารถวาง โทรศัพท์ได้ ไม่หลุดเมื่อขับรถ ไม่ว่าจะเป็นด้านหน้าหรือด้านหลังก็ตาม แต่น่าเสียดาย ที่แผงประตูข้างด้านหลังไม่ได้ใช้วัสดุพรีเมี่ยมเหมือนแผงประตูด้านหน้า ทำให้จะวางแขน หรือพิงศรีษะ ก็จะไม่นุ่ม เหมือนคุณภาพไม่เท่ากับด้านหน้า

All-New Mitsubishi Triton (2023) ยังมีชุดแต่งติดตั้งมาให้ หากจองก่อนวันที่ 31 สิงหาคม นี้ โดยแพ็กเกจจะได้บาร์ ซุ้มล้อ สเกิร์ตด้านหน้า ด้านข้าง โลโก้ด้านหน้า โดยรวม 6 อย่าง และต้องเพิ่มเงินประมาณ 40,000 บาท

การขับขี่ โดยรวมโอเค แต่ไม่ตอบโจทย์ สายสปอร์ตที่ต้องการความแรงเร้าใจ ถ้าต้องการแบบนั้น รอช่วง ปลายปีนี้ พบกับรุ่นเครื่องยนต์ 204 แรงม้า จะมาให้เห็นครับ ส่วนภายใน กว้างขวางนั่งสบาย เก็บเสียงดี วัสดุโอเค ตอบโจทย์คนที่ชอบ อะไรใหญ่ๆ อย่างฟอนต์ ตัวอักษร ตัวเลข สบายตา เหมาะกับกลุ่มคนอายุประมาณ 40 ปี และขอย้ำว่า รถคันนี้ เหมาะสำหรับธุรกิจเป็นหลัก รุ่นอื่นๆ อาจจะต้องรอก่อนครับ

สุดท้าย การขับกึ่งออฟโรด ในแทรคที่สร้างขึ้นมานี้ ให้ฟิลลิ่งขับสนุก บางช่วงขับดีกว่าออนโรดเลยด้วย แต่ก็มีแอบโยนๆ อยู่บ้างเล็กน้อยครับ

*สามารถชมคลิปรีวิวฉบับเต็มได้ที่ Link ด้านล่างนี้เลยครับ