Review All-New Honda CR-V e:HEV ES (2WD) (2023)

Share on facebook
Share on twitter

ราคาจำหน่ายของ ALL NEW HONDA CR-V
- รุ่น E ( 5 ที่นั่ง) ราคา 1,419,000 บาท
- รุ่น ES 4WD ( 5 ที่นั่ง) 4WD ราคา 1,599,000 บาท
- รุ่น EL 4WD ( 7 ที่นั่ง) ราคา 1,649,000 บาท
- รุ่น e:HEV ES ( 5 ที่นั่ง) ราคา 1,589,000 บาท
- รุ่น e:HEV RS 4WD ( 5 ที่นั่ง) ราคา 1,729,000 บาท

Honda CR-V e:HEV ES รุ่นรองท็อปคันนี้ราคา 1,589,000 บาท อยู่ในกลุ่มไฮบริด ส่วนรุ่นท็อปรหัส RS ราคาอยู่ที่ 1,729,000 บาท ต่างกัน 140,000 บาท โดยรุ่นท็อปจะได้ชุดแต่ง RS ของ Honda ชุดแต่งภายนอกที่เน้นสีดำ ภายในคุมโทนเข้มขึ้น แดชบอร์ดเป็นแบบอลูมิเนียมสีเงินพรีเมียม หนังเย็บด้วยด้ายสีแดง ออฟชั่นเพิ่มขึ้นอย่าง เฮดอัพดิสเพลย์ ล้อขนาด 19 นิ้ว และระบบ Honda Sensing รุ่นท็อปได้เพิ่มอย่าง ระบบไฟหน้าอัจฉริยะ ADB และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ

ส่วน Honda CR-V กลุ่มเครื่องยนต์เบนซิน 1.5 เทอร์โบ อย่างรุ่น ES ราคา 1,599,000 บาท ซึ่งมีราคาสูงกว่าเครื่องยนต์ไฮบริดนั้น มีอยู่ปัจจัยหนึ่ง หลักๆ เลยก็คือมีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ส่วนรุ่นท็อปอย่าง EL ราคา 1,649,000 บาท ขับเคลื่อน 4 ล้อ และยังเป็นรถ 7 ที่นั่ง นอกนั้นรุ่นอื่นจะเป็นรถ 5 ที่นั่งทั้งหมด ส่วนHonda CR-V e:HEV ES ที่ขับอยู่คันนี้จะเป็นระบบขับเคลื่อน 2 ล้อ เท่านั้น

เมื่อเปรียบเทียบเรื่องเครื่องยนต์ ระหว่าง เครื่องยนต์เบนซิน 1.5 เทอร์โบ 190 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 240 นิวตันเมตร ส่วนเครื่องยนต์ e:HEV ให้พละกำลัง 207 แรงม้า เมื่อมอเตอร์ทำงานร่วมกับกับเครื่องยนต์คู่กัน ก็จะแรงกว่า ประหยัดน้ำมันมากกว่า

Honda CR-V e:HEV ES เป็นรถที่น่าสนใจ เพราะเมื่อเทียบกับรุ่นเบนซิน 1.5 เทอร์โบที่แพงกว่า 10,000 บาท เพราะได้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ แต่ถ้าไม่ได้ไปลุยออฟโรด ผมว่าก็ไม่ได้จำเป็นถ้าเลือกรถคันนี้ก็ประหยัดเงินได้ แถมได้เครื่องยนต์ไฮบริดด้วย แต่ถ้าชอบเครื่องยนต์เทอร์โบ เพราะขับสนุกกว่า และไม่ชอบระบบไฟฟ้า ก็ต้องไปเลือกรุ่นนั้นนะครับ

รถคันนี้มีจุดที่ชอบ เช่น พื้นที่ใช้สอยกว้างมากๆ ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ช่วงขา หรือเหนือศรีษะ ให้ความโปร่ง โล่ง สบาย ตอบโจทย์มากเลย และอีกจุดคือช่องเก็บของต่างๆ อย่าง ช่องวางแก้วน้ำ ช่องว่างเหรียญ วางกุญแจ โทรศัพท์ กระเป๋าสตางค์ หรือว่าช่องเก็บของตรงกลางก็วางได้ หรือว่าใส่ของได้เยอะเหมือนกัน เบาะเป็นแบบไฟฟ้าคู่หน้า และมีเมมโมรีซีท 2 ตำแหน่งให้แต่ฝั่งคนขับ มีไฟแอมเบียนซ์สีขาวตรงแผงประตูด้านข้าง และที่วางแก้วคอนโซนกลาง ทำให้ภายในดูมีเสน่ห์มากขึ้น และยังมี Apple Car Play เชื่อมต่อแบบไร้สาย และ Android Auto ก็มีให้ แต่หากจะฟังเพลงด้วยลำโพง BOSE ต้องไปเลือกรุ่น e:HEV RS เท่านั้น อีกเรื่องคือวัสดุโดยรวมของรถ CR-V มีความพรีเมี่ยม สมกับเป็นรถรุ่นท็อปในกลุ่ม SUV ของ Honda ผมชอบนะครับ

ข้อสังเกตจากที่ผมได้ใช้งานมาอย่างแรกเลยคือน้ำหนักของตัวรถ ซึ่งความรู้สึกส่วนตัวของผม จากที่ใช้งานมาคือ Honda CR-V มีน้ำหนักตัวรถค่อนข้างหนักเวลาขับจะสัมผัสได้ว่าตัวรถมีน้ำหนักอยู่ อาจจะไม่ได้ขับพริ้วเพราะเป็นรถ SUV หากชอบแบบสปอร์ตอาจต้องไปดูรถซีดานมากกว่า นอกจากนี้ เรื่องกล้อง อย่าง Lanewatch และ กล้อง 360 องศา มีมาให้ใช้งานได้ แต่ภาพก็ยังไม่คมชัด ซึ่งน่าเสียดายเมื่อเทียบกับรถจีนที่มีฟีเจอร์กล้องที่ชัดกว่า ใช้งานได้หลากหลายกว่า ถ้า Honda CR-V ทำได้แบบนั้น บอกเลยว่ากินขาด ปังเลยครับ สุดท้ายเรื่องการส่งมอบรถ ตอนนี้มีข่าวว่าการส่งมอบรถล่าช้านิดนึงนะครับ ซึ่งผู้ที่สนใจลองสอบถามทางโชว์รูมก่อนว่าจะได้รับรถเมื่อไหร่ครับ

ทดสอบขับโหมด Normal
ความเร็ว 0-100 กิโลเมตร / ชั่วโมง รอบแรก ทำเวลาได้ 9.29 วินาที
ความเร็ว 0-100 กิโลเมตร / ชั่วโมง รอบสอง ทำเวลาได้ 9.35 วินาที
ความเร็ว 65-120 กิโลเมตร / ชั่วโมง ทำเวลาได้ 8.30 วินาที
ความเร็ว 0-50 กิโลเมตร / ชั่วโมง ทำเวลาได้ 4.23 วินาที
ความเร็ว 65-120 กิโลเมตร / ชั่วโมง ทำเวลาได้ 9.22 วินาที

ทดสอบขับโหมด Sport
ความเร็ว 0-100 กิโลเมตร / ชั่วโมง รอบแรก ทำเวลาได้ 9.49 วินาที

ขับโหมด Normal ทุกช่วงความเร็วตั้งแต่ 0-140 กิโลเมตร/ชั่วโมง ตอบสนองได้ทุกการขับขี่ แต่หากเปลี่ยนไปขับโหมด Sport ให้ความรู้สึกถึงความเร้าใจมากยิ่งขึ้นไปอีก ซึ่งมีจุดสังเกตคือ เมื่อความเร็วมากกว่า 140 กิโลเมตร/ชั่วโมงแล้ว การตอบสนองเรื่องความเร็วจะเห็นถึงความต่างที่ทำความเร็วให้เพิ่มขึ้นได้ค่อนข้างช้าทีเดียว ซึ่งเพื่อความปลอดภัยแล้วก็ไม่ควรขับด้วยความเร็วสูงขนาดนั้นครับ

โดยรวมเหมาะกับการขับในเมือง ขับนอกเมืองที่สนุก ตอบสนองได้ทันใจ แต่เสียงเครื่องยนต์เรื่องเร่งด้วยความเร็วสูงแล้วจะได้ยินเสียงเครื่องยนต์เข้ามาในห้องโดยสารได้อย่างชัดเจนทีเดียว ซึ่งเมื่อใช้งานไประยะหนึ่งแล้ว อาจจะชินเสียงเครื่องยนต์ไปเอง ส่วนเสียงลมที่เข้ามาในห้องโดยสารเก็บเสียงได้ดีระดับที่ไม่เกิน 120 กิโลเมตร / ชั่วโมง ซึ่งเสียงลมระดับนี้ถือว่าปกติ โดยเสียงอื่นๆ เช่นเสียงรถรอบข้าง หรือเสียงถนน จะได้ยินมากกว่าเสียงลมค่อนข้างดังกว่าเสียงลมแน่นอน

อีกอย่างที่ชอบคือเรื่องการควบคุมพวงมาลัย กระชับมันล็อคมือ คล่องมากครับ ให้ความรู้สึกมั่นใจมากๆ และที่ตัวรถค่อนข้างหนักก็เลยทำให้การควบคุมของพวงมาลัยบางครั้งอาจจะหนักไปหน่อยเมื่อเทียบกับรถที่มีขนาดเล็กกกว่า ซึ่งขับทางตรงอาจจะไม่มีปัญหา แต่หากขับช่วงรถติด หรือขับในเมือง อาจจะสัมผัสได้ถึงน้ำหนักพวงมาลัยที่หนักมากกว่าครับ

ลองขับผ่านหลังเต่า เบาะหน้าไม่รู้สึกแรงกระแทกเท่าไหร่ ส่วนเบาะแถวสองจะรู้สึกถึงแรกกระแทก แต่หากใครซื้อรถ 3 แถว เบาะแถวที่ 3 ที่จะสัมผัสแรงกระแทกได้อย่างชัดเจน ซึ่งเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วนะครับ ลองขับด้วยความเร็วประมาณ 50-100 กิโลเมตร / ชั่วโมง สัมผัสถึงการเข้าโค้งเกาะถนนได้ดี แต่เมื่อเปรียบเทียบกับ Mazda ที่เข้าโค้งได้มั่นใจมากกว่า ช่วงล่างเฟิร์มสัมผัสถึงความแกร่งได้ชัดเจนกว่า Honda ซึ่งเป็นการเปรียบเทียบในเรื่องช่วงล่างเท่านั้น

Honda CR-V คันนี้ มีทัศนวิสัยในการขับขี่กว้าง มองเห็นได้อย่างชัดเจน กระจกมองหลังตัดแสง ส่วน Lanewatch สามารถเปิดดูได้ทุกช่วงความเร็ว แต่น่าเสียดายไม่มี Blind Spot ซึ่งผมคิดว่าหากมีเพิ่มขึ้นก็ดีนะครับ

ด้านเบาะคนขับที่ขับมานานพอสมควร ก็โอบรัดดีไม่รู้สึกเมื่อย แต่หากขับทางยาวต่างจังหวัดนานๆ ก็ควรพักบ้าง เพื่อสุขภาพด้วยนะครับ

ระบบเบรกถือว่าโอเค ไม่ต้องเหยียบลึกมาก แค่เหยียบนิดเดียวก็พอแล้ว ส่วนล้อ และยางทุกรุ่นขนาด 18 นิ้ว ยกเว้นรุ่นท็อป มีขนาด 19 นิ้ว ส่วนเบรกด้านหน้า-หลังเป็นดิสก์เบรกทั้งหมด ซึ่งด้านหน้าจะมีช่องระบายความร้อนให้ด้วย สำหรับช่วงล่างด้านหน้าแบบแมคเฟอร์สันสตรัทอิสระ พร้อมเหล็กกันโครง ด้านหลังแบบมิลติลิงค์อิสระพร้อมเหล็กกันโครง

อัตราสิ้นเปลืองของคันนี้ จากที่ขับ 150 กิโลเมตร อัตราสิ้นเปลืองที่แสดงบนหน้าปัดอยู่ที่ 17.3 กิโลเมตรต่อลิตร หากขับในเมืองอาจจะมีอัตราสิ้นเปลือง 14 ถึง 16 กิโลเมตรต่อลิตร ซึ่งเมื่อคำนึงถึงการประหยัดน้ำมันแล้วรถในกลุ่มไฮบริด จะประหยัดน้ำมันมากกว่ารถกลุ่มเทอร์โบแน่นอนครับ

คู่แข่งที่จะเปรียบเทียบได้ก็มี Mazda CX-5 ซึ่งเป็นโมเดลค่อนเก่ากว่า หรือ Haval H6 ที่ขนาดตัวถังขนาดตัวรถ พื้นที่ใช้สอย โอเคเลย ราคาจะถูกกว่า แต่สำหรับผม Honda CR-V e:HEV ES (2023) คันนี้ ให้ความรู้สึกถึงพื้นที่ใช้สอยภายในกว้างกว่านะครับ มาพร้อมราคา 1,589,000 บาท

*สามารถชมคลิปรีวิวฉบับเต็มได้ที่ Link ด้านล่างนี้เลยครับ