NISSAN ALMERA 2023 เพิ่มราคายังน่าซื้ออยู่มั้ย

Share on facebook
Share on twitter

Review NISSAN ALMERA 2023

หลังจากใช้งานจริง Nissan Almera Minor Change ปี 2023 คุ้มกับการเพิ่มเงินหรือไม่ สำหรับรถคันนี้ถึงแม้ว่าจะเพิ่มราคาขึ้นมา แต่ถ้าคุณดูในเรื่องของ Option และ Feature ที่ใส่มาให้ถือว่าเยอะอยู่พอสมควร ราคาของคันนี้ในรุ่นท็อปหรือรุ่น VL จะอยู่ที่ 699,000 บาท ถ้าถามมุมมองของผมว่ารถคันนี้คุ้มค่าหรือไม่ ผมก็จะตอบสั้น ๆ เลยว่าคุ้มอยู่พอสมควรเลยครับ

สำหรับ Nissan Almera จะมีให้เลือกอยู่หลายสีแต่ตอนที่ผมมาทดสอบนี้จะมีอยู่ 4 สี นั่นก็คือสีแดง Radiant Red, สีเทา Gray Sky Pearl, สีขาว Strom White และสีเทาล้วน Gun Metallic ถ้าถามมุมมองผมว่าสีไหนสวยที่สุด ผมคิดว่าเป็นสีขาว และสีเทาครับ แต่สำหรับสีแดงผมคิดว่าอาจจะไม่ค่อยดูวัยรุ่นสักเท่าไหร่อาจจะดูคลาสสิคเรียบ ๆ ไปหน่อย และในรุ่นนี้เรายังสามารถเพิ่มชุดแต่งได้ด้วย โดยจะมีหลายออพชั่นที่คุณเลือกได้

ถ้าคุณสังเกตุจากคันที่อยู่กับผมตอนนี้จะเป็นแบบคลาสสิค สังเกตุได้จากกระจังหน้า แต่กับอีกคันที่กระจังหน้าเป็นสีดำทั้งหมดนั่นจะเป็นชุดแต่งที่เพิ่มเข้ามา ซึ่งคุณสามารถเลือกได้หลายส่วน เช่นเปลี่ยนแค่กระจังหน้าโดยจ่ายเงินเพิ่ม 6,900 บาท แต่ถ้าคุณอยากเปลี่ยนรอบคันได้แก่ สเกิร์ตด้านหน้า, ด้านข้าง 2 ฝั่ง และด้านท้ายราคาจะอยู่ที่ 19,900 บาท ในราคานี้จะรวมสปอยเลอร์ด้วยรวมเป็น 5 ชิ้น และถ้าคุณอยากจะเปลี่ยนชุดเต็มราคาจะอยู่ที่ 29,000 บาท ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละท่านว่าจะเปลี่ยนแค่บางส่วน หรือว่าทั้งหมดเลยก็สามารถสอบถามกับทางโชว์รูมได้ครับ

ข้อดีของการติดชุดแต่งกับทาง Nissan นั่นก็คือคุณสามารถรวมราคากับไฟแนนส์ได้เลยไม่ต้องแยก ซึ่งถือว่าสะดวกมาก ๆ พร้อมทั้งการรับประกันต่าง ๆ ก็ยังอยู่เหมือนเดิม ไม่เหมือนกับการไปติดชุดแต่งข้างนอกครับ

สีภายนอกถ้าคุณอยากจะได้สีที่ดูคลาสสิคเช่นสีแดง หรือสีเทานมที่จอดอยู่ด้านหลังนี้ คุณก็จะต้องเพิ่มเงินจากราคาเดิมอีกไม่เกิน 15,000 บาท

สำหรับรถ Eco Car ในตลาดบ้านเราถือว่ามีเยอะมาก ๆ ถ้าพูดถึงเจ้าตลาดใหญ่ ๆ เช่น Toyota Yaris Ativ ราคา 699,000 บาท, Honda City ราคา 579,500 – 739,000 บาท, Mazda 2 ราคา 546,000 - 690,000 บาท และถ้าคุณเอาราคาของ Nissan Almera มาเปรียบเทียบยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ ซึ่งราคาก็จะเท่ากับ Toyota Yaris Ativ ตัวท็อป และ Mazda 2 ที่เป็นตัวเบนซิน แต่ถ้าเทียบกับ Honda City รุ่น RS ราคาของ Honda จะสูงกว่า 40,000 บาท แต่ถ้าดู Nissan Almera ในเรื่อง Option ต่าง ๆ ที่มีมาให้ก็ถือว่าใกล้เคียงกับพวงเจ้าตลาดเลยครับ เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจเลยทีเดียวหรือถ้าจะดูค่ายอื่น ๆ ที่อยู่ในเลทราคาเดียวกันก็จะมี MG 5 ราคา 585,000 – 709,000 บาทหรือจะเป็นราคาที่ต่ำกว่าก็จะมี Suzuki Swift ราคา 567,000 – 637,000 บาท และ Suzuki Ciaz ราคา 528,000 – 648,000 บาท

ในเรื่องของดีไซน์ในมุมมองของผม Nissan Almera น่าสนใจอยู่ครับดูสวยสปอร์ท และเร้าใจอยู่พอสมควร สามรถตอบได้หลายโจทย์ไม่ว่าจะเป็นวัยรุ่นดุดันสปอร์ทเราก็เลือกรุ่น VL และเอาชุดแต่งไปเพิ่ม หรือถ้าอยากได้เรียบ ๆ เราก็ไม่ต้องเพิ่มชุดแต่งแถมยังช่วยประหยัดเข้าไปอีก

สำหรับ Feature และ Option ของ Nissan Almera นี้เปรียบเทียบในรุ่นที่ใกล้เคียงกันถือว่าอยู่ในอันดับต้น ๆ ถือว่าครบอยู่พอสมควรเลยไม่ว่าจะเป็นเรื่องไฟที่เพิ่มระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติหรือ Hight Beam Assistant และนอกเหนือจากนี้จะมีกล้อง 360 องศาพร้อมทั้งหน้าจอที่ใหญ่ขึ้นฟร้อนก็ใหญ่ขึ้นด้วยทำให้มองเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น นอกจากนี้ก็จะมีระบบเช็คลมยาง รวมทั้งโลโก้ Nissan ที่เปลี่ยนเป็นแบบใหม่ทั้งหมด รวมทั้งกุญแจรีโมทแบบใหม่ที่เพิ่ม Option ในเรื่องการสตาร์ทเครื่องจากนอกรถเป็นต้น ในเรื่องความปลอดภัยยังเพิ่มระบบ Blind Spot, ระบบเตือนการชนด้านหน้า, ระบบเตือนการออกนอกเลนก็มีมาให้ และสุดท้ายพื้นที่เก็บสัมภาระด้านหลังที่กว้างมากเก็บของได้เยอะขึ้น สามารถวางกระเป๋าเดินทางได้ 3 ใบสบาย ๆ ครับ

ในเรื่องการขับขี่ Nissan Almera มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซิน 1.0L Turbo 3 สูบแรงม้าอยู่ที่ 100 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 152 นิวตันเมตร ซึ่งถ้าเราดูแค่ตัวเลข 1.0 อาจจะรู้สึกว่าจะมีแรงหรอ แต่ก็อยากให้ลองมาขับเองครับอย่าดูที่ตัวเลขเพราะจากประสบการณ์ที่ผมเคยขับคันนี้มา ถ้าคุณเคยขับ Nissan Almera รุ่นก่อนหน้านี้มาฟิลลิ่งมันจะคล้าย ๆ กันจะให้ฟิลลิ่งแบบขับสนุก, แรง, ทันใจ

ถ้าคุณขับอยู่ในความเร็วต่ำเช่นในเมืองที่มีรถติด หรือความเร็วระดับกลาง 50-80 กม./ชม. หรือ 80-120 กม./ชม.ขึ้นไปรถคันนี้ก็ตอบโจทย์หมดเลยครับ แต่แน่นอนว่าคันนี้เป็นรถ Eco Car ซึ่งจะไม่จี๊ดจ๊าด และให้อัตราความเร็วที่สปอร์ทมาก แต่เมื่อเทียบกับรถในกลุ่มเดียวกันถือว่าโอเคเลย

การขับครั้งนี้ผมขับจากกรุงเทพ ไปสระบุรี เพื่อที่จะทดสอบเรื่องอัตราสิ้นเปลือง และอัตราเร่งโดยรวม

จากการทดลองเร่งความเร็วจากความเร็ว 100 กม./ชม. ก็เร่งได้ทันใจแต่ก็จะมีเสียงเครื่องยนต์ที่ดังเข้ามา สำหรับเรื่องการเบรกก็ตอบสนองได้ดีเหยียบแค่นิดเดียวก็อยู่แล้วครับ การเข้าโค้งในความเร็ว 50-70 กม./ชม. การเข้าโค้งเล็กน้อย Handling พวงมาลัยทำได้นุ่มนวล

การเร่งความเร็วจาก 80 กม./ชม. ขึ้นไปถึง 120 กม./ชม. จะให้ฟิลลิ่งที่แตกต่างกันนิดนึงแต่ยังถือว่าเร็วอยู่ครับ แต่ก็จะมีเสียงเครื่องยนต์ด้วยอาจจะไม่ตอบโจทย์สำหรับคนที่ชอบเสียงเงียบ ๆ แต่คนที่ชอบความเร้าใจอาจจะชอบ

การเร่งความเร็วตอบสนองได้ดี รอบเครื่องทำได้ดีอยู่พอสมควรโดยวัดจากตัวเลขหน้าปัด และความรู้สึก จะไม่ค่อยรู้สึกถึงอาการอืดและช้าเลย

เรื่อง Handling ของพวงมาลัยจับกระชับดีมาก เวลาเราเปลี่ยนเลนส์ การหักเข้าโค้งควบคุมได้ง่าย ตัวพวงมาลังปรับได้ 4 ทิศทาง ขึ้นลง – เข้าออก น้ำหนักพวงมาลัยไม่ได้หนักมากขับสบายแต่วัสดุตัวก้านอาจจะแข็งนิดหน่อย

ทัศนะวิสัยโดยรวมถือว่ากว้าง กระจกมองหลังที่เป็นดีไซน์ใหม่สวยและมองได้กว้างชัดเจนมีความรีเฟล็กนิดหน่อย แต่ไม่กระทบต่อการใช้งาน กระจกมองข้างจะไม่ได้อยู่ตำแหน่งเดิมตรงเสา A แต่จะลดตำแหน่งลงนิดหน่อยเพื่อมีช่องให้มองมากขึ้นในตอนกลับรถ หรือบางมุมที่อับสายตา

จากที่ขับมาระยะนึงเรื่องเบาะถือว่าเป็นไฮไลท์เลยก็ว่าได้ตัวเบาะค่อนข้างนิ่มนั่งสบายทั้งตอนที่จอดอยู่ หรือนำมาขับเพราะบางคัน เบาะดูนิ่มแต่เวลาขับไกล ๆ จะให้ฟิลลิ่งที่ไม่เหมือนกัน แต่คันนี้เหมือนกันเลยครับแถมที่พิงศรีษะก็นุ่มสบายมาก น่าเสียดายอย่างเดียวที่ไม่ได้เป็นเบาะไฟฟ้า

นอกจากฟิลลิ่งการขับขี่ที่ดีแล้วอีกหนึ่งไฮไลท์ของคันนี้ก็คือเรื่อง Feature, Option และระบบความปลอดภัยต่าง ๆ ที่ถือว่าดีมาก ๆ ในรถระดับเดียวกัน สามารถเชื่อต่อ Apple CarPlay, Android Auto ได้รวมทั้งมีระบบ Nissan Connect ที่สามารถ Start, ล็อค/ปลดล็อครถรวมทั้งฟังก์ชันอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ได้จากโทรศัพท์มือถือ นอกจากนี้ในเรื่องความปลอดภัยจะมี Blind Spot ให้ที่จะมีสัญญาณไฟสีส้ม และมีเสียงเตือนเมื่อเราเปิดไฟเลี้ยวและมีรถอยู่ในเลนส์ด้านข้างที่จะเลี้ยว ซึ่งบางคันอาจจะมีสัญญาณเตือนแต่จะไม่มีเสียง แต่โดยส่วนตัวผมชอบแบบมีเสียงเตือนมากกว่าเพราะบางครั้งเราอาจจะไม่ได้สังเกตุไฟที่เตือน และระบบเตือนเมื่อรถออกนอกเลนส์โดยจะเตือนผ่านการสั่นของพวงมาลัยแต่จะไม่ได้เป็นการดึงเรากลับและมีสัญญาณเตือนที่หน้าจอด้วย นอกจากนี้จะเป็นระบบเตือนลมยางที่ดูได้จากหน้าปัดแต่จะสามารถดูได้เมื่อรถเคลื่อนตัว

ระบบไฟหน้าเป็น LED ทั้งหมดและมีระบบเปิดไฟสูงอัตโนมัติมาให้ด้วย

กล้อง 360 องศาก็มีติดตั้งมาให้แต่ถ้าดูเรื่องการใช้งานจริง ๆ แล้วอาจจะไม่ได้ชัดมาก ซึ่งในกลุ่ม Eco Car ด้วยกันก็จะไม่ค่อยชัดเป็นปรกติอยู่แล้ว แต่ถ้าจะเปรียบเทียบบางคันมีให้เพียงกล้องมองหน้า หรือหลังเท่านั้น ซึ่งถือว่าดีครับ

รวมทั้งระบบ SOS ที่ติดตั้งอยู่บริเวณไฟห้องโดยสารด้านหน้าที่เราสามารถเปิดขึ้นมาและกดปุ่ม SOS ได้โดยกดแช่ไว้ประมาณ 1-2 วินาทีทาง Call Center ของ Nissan ก็จะติดต่อเข้ามาเพื่อสอบถามการช่วยเหลือ

ใต้คอนโซลด้านหน้าของคันนี้จะมี Wireless Charger ติดตั้งมาให้ด้วยถือว่าโอเคเลยครับ รวมทั้งที่พวงมาลัยจะมีระบบ Cruise Control มาให้แต่จะไม่ได้เป็นแบบ Adaptive Cruise Control

และอีกสิ่งที่สำคัญของคันนี้เลยคือระบบปรับอากาศ จากที่ได้ลองขับมาแอร์ของคันนี้เย็นใช้ได้เลย แอร์ด้านหลังจะไม่มีมาให้ครับแต่ถ้ามีผู้โดยสารด้านหลังแค่เร่งแอร์ไปเบอร์ที่สูงขึ้นผมก็คิดว่าเพียงพอ

เบาะหลังนุ่มนั่งสบาย พื้นที่ Leg Room ด้านหลังของคันนี้กว้างพอสมควรแต่แนะนำให้นั่งเพียง 2 คนถ้ามากกว่านั้นอาจจะเบียดกันนิดนึง แต่โดยปรกติแล้วพื้นที่ของรถ Eco Car ก็จะไม่ค่อยกว้างอยู่แล้วแต่ถ้าจะเปรียบเทียบกันคันนี้ถือว่ากว้างแล้วครับ ในเรื่อง Headroom และ Space โดยรอบของคันนี้ไม่มีปัญหา แอร์มาถึงด้านหลังได้สบาย รวมทั้งวัสดุที่กาบประตูดูดี และนิ่มมาก

จากการขับครั้งนี้จากกรุงเทพฯ มาสระบุรี รวมระยะทางประมาณ 130 กม. อัตราสิ้นเปลืองจากการขับของผมที่ไม่เน้นประหยัดจะอยู่ที่ 19.3 กม./ลิตร แต่ถ้าเราขับในเมืองที่ไม่ได้ใช้ความเร็วผมคิดว่าน่าจะวัดที่ได้ 20-22 กม./ลิตรสบาย ๆ เลยครับซึ่งตัวเลขที่ทาง Nissan แจ้งมาจะอยู่ที่ 23 กม./ลิตร ซึ่งใกล้เคียงกันครับ

การเก็บเสียงของคันนี้เก็บเสียงภายนอกได้ดีมาก ๆ แต่ก็อาจจะได้ยินพวกเสียงของรถบรรทุกเข้ามาบ้าง

การขับขี่โดยรวมของคันนี้ดีมากทุกอย่างอยู่ในเกณฑ์ Standard แต่อัตราเร่งดีครับทั้งในความเร็ว ต่ำ-กลาง-สูง ถ้าจะเทียบกับ Honda City อาจจะให้ความ Sport ดุดันกว่าแต่ก็จะเก็บเสียงไม่ดีเท่าคันนี้ แต่ถ้าจะเทียบกับ Mazda 2 อาจจะขับขี่สนุกกว่าคันนี้นิดหน่อย ไม่ได้ต่างกันมาก สุดท้ายคือ Toyota Yaris Ativ ที่จะเน้นสไตล์รถครอบครัวที่มีอัตราการเร่งที่ดี ยกเว้นเรื่องความเร็วสูงในช่วง 90-120 กม./ชม. ขึ้นไปอาจจะตอบสนองช้านิดนึง และนี่ก็เป็นการเปรียบเทียบคร่าว ๆ สำหรับคนที่กำลังสนใจรถ Eco Car อยู่ครับ

*สามารถชมคลิปรีวิวฉบับเต็มได้ที่ Link ด้านล่างนี้เลยครับ