เข้าใจแล้วทำไมถึงขายดี BYD ATTO 3

Share on facebook
Share on twitter

หลังจากที่ใช้งานคันนี้จริงรู้แล้วว่าทำไม BYD ATTO 3 ถึงขายดี การออกแบบที่ไม่เหมือนใครอย่างหน้าจอขนาด 12.8 นิ้ว ใหญ่และยาวมาก ปรับได้ทั้งแนวตั้ง แนวนอน สามารถปรับได้ตลอดเวลา มีระบบเยอะมากมาย อาทิ Navigation ที่อาจจะใช้เวลาโหลดนิดนึง ส่วน Spotify ก็มีให้ รวมถึงระบบควบคุมอุณหภูมิ เป็นต้น

นอกจากนี้ยังมีแอพพลิเคชั่นมากมายอย่าง Vehicle Image เห็นภาพกล้องรอบคันแบบ 3D เลือกดูได้หลากหลายมุมทั้งด้านข้าง ด้านหน้า ด้านท้าย อำนวยความสะดวกมากๆ เมื่อได้ทดลองใช้งานตอนกลางคืนภาพจะเป็นสีเทา

สิ่งที่สำคัญมากๆ ก็คือ Settings ควบคุมหลายอย่าง ได้แก่ Cellular Data, Display สามารถตั้งแค่ความสว่างหน้าจอให้เหมาะสมกับสภาพแสง ทั้ง Light, Dark และ Auto นอกจากนี้ยังมี Software แจ้งไว้ว่าจะต้องอัพเกรดซอฟต์แวร์ด้วยหรือไม่

ส่วน Vehicle Settings อย่างเช่น ไฟแอมเบียนท์ สามารถตั้งค่าสีไฟต่างๆ ให้ความสว่างอยู่พอสมควร ทั้งไฟตรงกลาง แผงประตูด้านข้างทั้งหน้า และหลัง ที่สำคัญคือจะกระพริบเป็นสีที่เราเลือกไว้ และเลือกได้หลายสี ซึ่งเป็นกิมมิคที่สวย ได้ฟีลแบบดิสโก้

ด้านระบบความปลอดภัย สามารถตั้งค่าได้ทั้งการปิดประตู การเปิดท้ายรถ เป็นต้น ต่อไปก็คือสถานะของรถก็ตั้งค่าได้เหมือนกันว่าสภาพของรถเราเป็นอย่างไร ข้อมูลของรถปกติหรือไม่ เป็นต้น

หน้าจอมีข้อสังเกตอย่างหนึ่งคือ หากมีปัญหาที่หน้าจอต้องรีบนำเข้าศูนย์บริการ ไม่อย่างนั้นอาจจะใช้งานไม่ค่อยได้ ส่วนหน้าจอด้านคนขับนั้น มีขนาดเล็ก อาจจะไม่สะดวกเท่าไรนัก เมื่อเปรียบเทียบกับหน้าจอกลาง ซึ่งหากหน้าจอคนขับมีขนาดใหญ่เท่ากันจะรู้สักประทับใจมากขึ้น

ภายในห้องโดยสาร ยังมีกิมมิค ที่น่าสนใจไม่ว่าจะเป็นสายกีต้าร์ที่อยู่ด้านข้างทุกฝั่งทั้งด้านหน้า ด้านหลัง สายกีตาร์สามารถดีดเล่นได้ มองด้านโทนสีโดยรวมจะเป็นสีขาวตัดด้วยสีน้ำเงิน น่ารักมากๆ ซึ่งไม่ได้ดูสปอร์ต ดุดัน หรือดูเรียบๆ เหมาะเป็นรถครอบครัว มีเด็กๆ และจากที่ได้เซอร์เวย์มาคือ เด็กส่วนใหญ่จะชอบโทน และดีไซน์ของคันนี้มาก และถ้าเด็กชอบแล้วผู้ใหญ่ก็จะโอเค

อีกปัจจัยหนึ่ง คือราคาสำหรับ BYD ATTO 3 มีให้เลือก 2 รุ่น คือ รุ่น Extended Range (480 กิโลเมตร) ราคา 1,199,900 บาท และรุ่น Standard range ( 410 กิโลเมตร) ราคา 1,099,900 บาท แตกต่างกันที่ระยะการเดินทางต่อหนึ่งการชาร์จ ซึ่งด้วยราคาจะสามารถเปรียบเทียบได้กับกลุ่ม B-SUV อย่าง HONDA HR-V, TOYOTA COROLLA CROSS, MAZDA CX-30, MG HS, NISSAN KICKS เป็นต้น

ขนาดตัวถัง ทั้งความยาวกว้างสูง ขนาดจะใหญ่กว่ากลุ่ม B-SUV แต่ยังเทียบเท่าตัว C-SUV ไม่ได้ รถ BYD ATTO 3 คันนี้ถือว่าดีกว่าในระดับนึงเลย สำหรับการจอง และรับรถรุ่นนี้ BYD ได้เปิดรับจองเมื่อ 2 กุมภาพันธ์ 2566 ที่ผ่านมาซึ่งมีประมาณ 7,000 คัน และมีประกาศว่าหากใครจองล็อตนี้ทัน จะได้รถประมาณช่วงสงกรานต์หรือว่าเดือนเมษายนนี้นั่นเอง

ข้อสังเกตของรถคันนี้ นอกจากหน้าจอคนขับที่มีขนาดเล็กกว่าหน้าจอเอนเตอร์เทนเมนต์แล้ว ยังมีปุ่ม Start/Stop จะอยู่ตรงเกียร์ และใกล้กับปุ่ม P ซึ่งหากใช้งานครั้งแรกอาจจะกดผิดปุ่ม หรือหากมีเด็ก สัตว์เลี้ยง อาจจะไม่ปลอดภัยได้

BYD ATTO 3 จะได้ทั้งกุญแจ และการ์ดสำหรับเปิดรถได้ แต่การ์ดนี้อย่าวางไว้ตรงที่ชาร์จไวเลสเพราะว่าบริเวณนั้นมีคลื่นแม่เหล็กอาจจะเกิดความร้อน และเป็นอันตรายได้

แบตเตอรี่จะเป็นของ BYD เลยซึ่งเขาจะเรียกว่า BYD Blade Battery รุ่น Standard ความจุ 49.62 kWh ส่วนรุ่น Extended ความจุ 60.48 kWh ซึ่งให้ระยะทางต่างกัน แต่พละกำลัง 0-100 จะเหมือนกันที่ 7.3 วินาทีเท่านั้น

ขับเคลื่อนสองล้อหน้า พวงมาลัยไฟฟ้า ระบบช่วงล่างด้านหน้าจะเป็นแบบแมคเฟอร์สันสตรัท ส่วนช่วงล่างด้านหลังจะเป็นแบบมัลติลิงค์ เบรกหน้าหลังเป็นดิสก์เบรก ซึ่งด้านหน้าจะมีเป็นช่องระบายความร้อนให้ ล้อลอยจะเป็นขนาด 215/55 R18

การใช้งานของรถคันนี้ พื้นที่ภายในกว้างมาก ไม่ว่าจะเป็นด้านหน้า หรือด้านหลัง วัสดุของเบาะถือว่านุ่มอยู่พอสมควร ยิ่งระดับความสูงของเบาะหลังอยู่ในระดับเดียวกับเบาะหน้า ไม่ต่ำลงแบบรถสปอร์ต เพราะหากเบาะหลังต่ำเกินไปคนนั่งหลังอาจจะมีอาการเมารถง่าย

เบาะด้านหลังโดยรวมโอเค พื้นที่ช่วงขา และพื้นที่ด้านบนกว้าง แต่ยังเหมือนมีอะไรติดขัดอยู่ไม่รู้เพราะอะไรเหมือนกัน ซึ่งเป็นข้อสังเกตส่วนตัวอย่างหนึ่ง

มุมมองเรื่องช่องเก็บของ มีสองจุดหลัก คือตรงที่วางแขนซึ่งเป็นช่องลึกมาก อีกช่องอยู่ด้านลางคอนโซนกลาง แต่ส่วนตัวแล้วไม่ค่อยชอบช่องเก็บของตรงจุดนี้เนื่องจากไม่สะดวกสักเท่าไหร่ บางทีอาจจะหลงลืมไปบ้างว่ามีช่องข้างใต้อยู่ตรงนี้ด้วย หรือขณะขับรถอยู่แล้วจะหยิบของใช้จะไม่สะดวก

ทัศนวิสัยในการขับขี่มุมมองด้านหน้าถือว่ากว้างเลย ไม่ว่าหน้าจอกลางจะเป็นเป็นแนวนอน หรือแนวตั้งก็ตาม ส่วนกระจกมองหลังจะบีบนิดนึง คือมีสองปัจจัย อย่างแรกตรงกระจกหลัง ช่วงบนเหมือนกดลงมาทำให้เห็นภาพไม่ชัด อีกอย่างคือเบาะด้านหลังที่สูงชนกับหลังคาของตัวรถ ทำให้พื้นที่ในการมองจะแคบ หรือว่าบีบลงนั่นเอง

การเก็บเสียงของรถคันนี้คือต้องบอกก่อนว่ามันไม่ได้เก็บเสียงได้ดีมากนัก จากที่ผมได้ลองขับคือโดยปกติแล้วถ้าผมเหยียบอยู่ประมาณ 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง คือความเร็วมาตรฐานที่เสียงลมจะเริ่มเข้ามาห้องโดยสาร แต่ BYD ATTO 3 บางที 80-90 กิโลเมตรต่อชั่วโมงก็มีเสียงเข้ามาได้ยินชัดเจนอยู่พอสมควร รวมถึงเสียงรบกวนจากข้างนอกไม่ว่าจะเป็นเสียงจากถนนถนน เสียงรถข้างๆ อย่างเสียงรถบรรทุก เสียงมอเตอร์ไซค์ รถกระบะ และยังได้ยินเสียงถนนอยู่บ้าง

ด้านระบบความปลอดภัยที่มีมาให้มากมาย ระบบแจ้งเตือนมุมอับสายตาด้านข้าง BSD กล้องมองภาพรอบทิศทาง 360 องศา ระบบเตือนเมื่อออกนอกเลน LDW ระบบเตือนมีเมื่อรถวิ่งเข้ามาขณะเปิดประตู DOW เป็นต้น จะมาพร้อมกับเสียงเตือนมากมาย ซึ่งจะสร้างการรบกวน แต่ยังสามารถบิดการเตือนได้ไม่มากก็น้อย

ข้อดีอีกอย่างของรถไฟฟ้า คือการขับขี่ไม่ต้องรอรอบ เวลาจะเร่ง คือเหยียบปุ๊บมาตามอัธยาศัยเลย ความเร็วมาแบบไม่ต้องรอ มาเรื่อยๆ ไม่มีลิมิต แต่ถ้าเป็นเครื่องยนต์จะต้องรอไม่ว่าจะเป็นในรอบต่ำกลางสูงก็ต้องรอแน่นอน แต่รถไฟฟ้าก็มีข้อเสียอย่างหนึ่งคือถ้าแบตเตอรี่เกิดปัญหา และไม่ได้อยู่ในระยะรับประกันก็น้ำตาไหลเหมือนกัน

ด้านการขับขี่มีให้เลือก 3 โหมดคือ โหมด Normal, Eco และ Sport ปรับได้ง่ายที่ปุ่มบนคอนโซนกลางใกล้คันเกียร์ แล้วจะแสดงผลที่หน้าจอคนขับ ซึ่งให้ความรู้สึกตัวรถจะมีน้ำหนักถ่วงๆ ในโหมด Eco และเบาลงในโหมด Normal ส่วนโหมด Sport จะให้ความรู้สึกตัวรถเบาที่สุด

ส่วนการเหยียบคันเร่งนั้นให้ความรู้สึกมีน้ำหนักอยู่บ้างไม่ได้พลิ้วมากนัด ทำให้รู้สึกเร่งไม่มันสักเท่าไหร่ แต่ช่วงล่างที่มีมาให้ในรถคันนี้ให้ความรู้สึกดีทีเดียว ทั้งการเข้าโค้ง เปลี่ยนเลนส์ ให้ความสมดุลได้ประทับใจมาก

ฟิลลิ่งการขับ เริ่มจาการเข้าโค้งด้วยความเร็วประมาณ 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ให้ความรู้สึกประทับใจ เรื่องเบรกสบายๆ แต่จะแบบไม่ได้ความสปอร์ตเร้าใจ เวลาจะแซงเหยียบสบายๆ ควบคุมพวงมาลัยถือว่าน้ำหนักอยู่ระดับกลางโอเค

ลองขับ 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

- Normal Mode บนถนน ใช้เวลา 8.7 วินาที - Normal Mode ในสนาม ใช้เวลา 9 วินาที

- Eco Mode บนถนน ใช้เวลา 9.7 วินาที - Eco Mode ในสนาม ใช้เวลา 10 วินาที

- Sport Mode บนถนน ใช้เวลา 8 วินาที - Sport Mode ในสนาม ใช้เวลา 8 วินาที

BYD ATTO 3 คันนี้สามารถขับได้ 480 กิโลเมตรต่อหนึ่งการชาร์จ ตามมาตรฐาน NEDC ซึ่งจากการใช้งานมาสักพักจะขับได้ที่ประมาณ 430-450 กิโลเมตรต่อหนึ่งการชาร์จ ขึ้นอยู่กับการใช้งาน โหมดที่ขับ ซึ่งถ้าให้แบบแนะนำเพื่อที่จะเซฟมากที่สุดต้อง โหมด Eco ก็จะได้ความประหยัดมากที่สุด แต่ถ้าขับไปต่างจังหวัด อย่างกรุงเทพฯ – พัทยา หรือไปเขาใหญ่ หรือหัวหิน ขาไปสบายๆ แต่ขากลับอาจจะต้องแวะชาร์จไฟก่อน ซึ่งต้องวางแผนการเดินทางกันบ้าง เช่น หาที่พักที่มีที่ชาร์จ เป็นต้น

หากสนใจรถคันนี้ แนะนำให้สอบถามเซลล์ก่อนว่าการรับประกันแบตเตอรี่ รับประกันตัวรถ มีเงื่อนไขอย่างไร เพราะว่า ขอย้ำว่าถ้าต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่จริงๆ มันเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน

*สามารถชมคลิปรีวิวฉบับเต็มได้ที่ Link ด้านล่างนี้เลยครับ