Home
News
Review
Spec & Price
Press Release
Activities
Contact Us
Menu
Home
News
Review
Spec & Price
Press Release
Activities
Contact Us
Search
Close
Search
Close
Mercedes-Benz C350e ใช้งานได้ดีเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ
February 17, 2023
Share on facebook
Share on twitter
Youtube
เราจะมาลองใช้งานจริงกับ Mercedes-Banz C350e Plug-in Hybrid โดยการทดลองนี้เราจะเดินทางจากบางนาไปสู่พัทยา เราจะขับกันอยู่ในโหมด Hybrid
ถ้าพูดถึงระบบการทำงานของ C350e คันนี้แล้วจะเน้นใช้พลังงานของแบตเตอรี่ หรือมอเตอร์ไฟฟ้ามากกว่าเครื่องยนต์ ถ้าคุณขับอยู่ในโหมด Hybrid บางทีคุณอาจจะคิดว่ารถคันนี้จะใช้พลังจากมอเตอร์ และเครื่องยนต์ อย่างละ 50% แต่จริง ๆ แล้วจะใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ และมอเตอร์ไฟฟ้ามากกว่า จากที่ได้ลองขับมาสักพักแล้วจะสังเกตุได้ว่าพลังงานแบตเตอรี่จะลดเร็วกว่าน้ำมัน
รถคันนี้จะมีโหมดการขับขี่อยู่หลายโหมด เราสามารถกดจากหน้าจอควบคุมตรงกลางได้ซึ่งโหมดแรกก็คือ 1. Hold Battery Mode ซึ่งจะเป็นโหมดการขับขี่เซฟแบตเตอรี่สำหรับใช้ในการขับขี่ตามสถานที่ต่าง ๆ ที่เราได้เลือกไว้ 2. Electric Mode เป็นโหมดที่ใช่ไฟฟ้าล้วน ๆ ซึ่งจะช่วยในการประหยัดน้ำมัน 3. Hybrid Mode ซึ่งจะเป็นโหมดที่นิยมใช้กันโดยจะใช้พลังงานจากมอเตอร์และเครื่องยนต์ แต่จากที่ได้ทดลองจะใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ซะมากกว่า 4. Sport Mode ซึ่งในโหมดนี้จะมีการแจ้งรายละเอียดสถานะที่มากกว่าโหมดอื่น เช่น น้ำหนักพวงมาลัย เป็นต้น
การเร่งของคันนี้มันจะมีอยู่จุดหนึ่งที่ต้องสังเกตุ นั่นคือตรงหน้าปัดที่เขียนว่า Power และ Charge ซึ่งทั้ง 2 จุดนี้จะมีผลต่อการขับขี่ของเรา เมื่อเราเหยียบคันเร่งมาตราของ Power จะเพิ่มขึ้น และเมื่อถอนคันเร่งมาตรา Power จะลดลงและในส่วนของ Charge จะเพิ่มขึ้นแทน เมื่อส่วนของ Charge ลดลงไปแสดงว่ารถกำลัง Regenerate พลังงานให้กับเราเพื่อที่เราจะใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ได้มากขึ้น และอีกอย่างหนึ่งที่รู้สึกได้ตอนเหยียบคันเร่งนั่นคืออาการหน่วง และจะรู้สึกว่าดึงเรานิดนึงจะรู้สึกคล้าย ๆ กับระบบ Kers เราอาจจะต้องจับจังหวะดี ๆ เพราะบางจังหวะมันจะไม่ทำงาน ขึ้นอยู่ที่การขับขี่ของเราครับ ถ้าเราทำความเร็วที่คงที่ระบบนี้จะไม่ทำงานครับ และนี่ก็คือการใช้งานของระบบ Hybrid ของ C350e คันนี้ ซึ่งระบบ Hybrid นี้ถ้าคุณใช้งานในเมืองจะประหยัดได้พอสมควร แต่เมื่อคุณขับออกนอกเมืองหรือบนทางด่วนระบบนี้อาจจะไม่ค่อยน่าใช้สักเท่าไหร่ แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีเลยครับ
การเกาะถนน และการทรงตัวของรถคันนี้ถือว่าโอเคเลยครับ ไม่ว่าเราจะเลี้ยวหรือขับซิกแซกยังไง ก็ทำได้ดีพอสมควรครับ และจะมีอีกคุณสมบัติช่วงล่างของ Mercedes-Benz ที่เรียกว่า Level Control ที่จะมาช่วยเฉลี่ยน้ำหนักให้ช่วงล่างมีความสมดุลมากขึ้น ทำให้ตัวรถมีอาการโยนตัวน้อยที่สุด และจากที่ผมได้ลองขับก็ถือว่าใช้ได้เลยครับ เข้าโค้งที่ความเร็ว 135 กม./ชม. ยังรู้สึกมั่นใจ (แต่อย่าทำนะครับเพื่อความปลอดภัย)
รถคันนี้จะมีหลายสัดส่วนไม่ว่าจะเป็นแบตเตอรี่ที่ซ่อนอยู่ด้านท้ายของตัวรถ ซึ่งจะไม่เหมือนรุ่นก่อน ๆ ที่เปิดท้ายรถมาจะเห็นกล่องแบตเตอรี่ได้อย่างชัดเจน ซึ่งรุ่นนี้จะมีการกดแบตเตอรี่ลงเพื่อเพิ่มพื้นที่จะเก็บของมากขึ้น และนอกจากนี้แบตเตอรี่ยังมีขนาดใหญ่กว่ารุ่นก่อน ๆ โดยมีความจุอยู่ที่ 25.4 kWh
ส่วนอีกปัจจัยที่สำคัญนั่นคือล้อ หรือยาง ที่มีขนาด 18 นิ้ว ยางขนาด 225/45 R18 ถ้าเปรียบก่อนกับรุ่นเก่าจะมีขนาด 19 นิ้ว ขนาดที่ลดลงเพื่อเพิ่มในเรื่องของ Aero Dynamic และช่วยในการขับขี่ ถ้าใครต้องการที่จะไปเปลี่ยนเป็น 19 นิ้ว ทาง Mercedes-Benz ประเทศไทยได้แจ้งมาว่าไม่แนะนำเพราะจะทำให้เสียประสิทธิภาพของการขับขี่ได้อย่างชัดเจนครับ
เรื่อง Handling ของพวงมาลัยมีความนุ่ม และจับกระชับมือทำให้เวลาขับรู้สึกมั่นใจ เวลาเปลี่ยนเลนก็ไม่ได้หนักจนเกินไป แต่ถ้าจะปรียบเทียบกับ BMW นั้นจะมีความนุ่มในการขับขี่มากกว่า พวงมาลัยเป็นแบบไฟฟ้ามีปุ่มให้ปรับอยู่ด้านใต้ถือว่าดีมาก ๆ แต่สิ่งที่ผมไม่ชอบก็คือก้านของเกียร์ตรงพวงมาลัยมีขนาดเล็กเกินไป
ทัศนะวิสัยในการขับขี่ถือว่ากว้างทั้งด้านหน้า และด้านหลัง กระจกด้านข้างก็ถือว่ามองได้ชัดเจน และสิ่งที่ดีอีกอย่างของรถคันนี้ก็คือ เก็บเสียงภายนอกได้ดีมากในการขับขี้แทบจะไม่ได้ยินเสียงของรถรอบข้างเลย รวมทั้งเสียงจากพื้นถนนก็เบาเช่นเดียวกัน เสียงลมจะมีเข้ามาเล็กน้อยเมื่อความเร็ว 120 กม./ชม.
รถคันนี้มีระบบความปลอดภัยมาให้เยอะอยู่พอควร แต่น่าเสียดายที่ไม่มีกล้อง 360 องศาติดตั้งมาให้อาจจะต้องรอ Minor Change อีกรอบ ส่วนระบบ Blind Spot ก็มีเสียงเตือนที่ชัดเจนเมื่อตีไฟเลี้ยว และมีรถผ่านมาด้านข้าง แต่ถ้าเราไม่ได้เปิดไฟเลี้ยวจะมีไฟแสดงที่กระจกมองข้างแทนซึ่งมองเห็นได้ชัดเจนเช่นกัน และอีกระบบนึงนั่นคือระบบเตือนให้รถอยู่ในเลนซึ่งจะเป็นสัญลักษณ์สีเขียวอยู่ด้านขวามือของหน้าปัด เวลาเราออกนอกเลนพวงมาลัยจะสั่นและดึงกลับให้รู้สึกเพียงนิดเดียวแต่จะไม่ดึงกลับแรง ซึ่งก็จะเป็นทั้งข้อดี และข้อเสียครับ และระบบเตือนกันชนด้านหน้าก็มีให้เช่นเดียวกันถ้าเราขับไปชิดคันหน้ามากเกินไปจะมีสัญลักษณ์เตือนสีแดงแสดงขึ้นมาที่หน้าปัดทันที
ในด้าน Entertainment สามารถเชื่อมต่อกับ Apple CarPlay หรือ Android Auto ได้โดยจะเป็นแบบ Wireless ซึ่งใช้งานได้ดีมาก ๆ และลำโพง Burmester ก็ถือเป็น 1 ในไฮไลท์ของรถคันนี้ด้วย
เวลาขับเมื่อตีไฟเลี้ยวซ้าย-ขวากล้องที่กระจกมองข้างก็จะทำงานอัตโนมัติซึ่งถือว่าเป็นข้อดีครับ นอกจากนี้ก็จะเป็นเรื่องลูกเล่นต่าง ๆ เช่นหน้าจอที่เราสามารถปรับแต่งได้หลากหลายรูปแบบ และสามารถควบคุมได้จากพวงมาลัยฝั่งขวามือแถมยังมีหน้าจอแบบ Navigation แบบเต็มจอมาให้ด้วย โดยเลือกดูจากหน้าปัดคนขับหรือหน้าจอ Entertainment ก็ได้ หน้าจอแบบ Assistant ก็จะช่วยเตือนเรื่องความปลอดภัยในการขับขี่ และหน้าจอแบบ Service ที่จะใช้ดูสถานะต่าง ๆ ของตัวรถ
เบาะของคันนี้นุ่นนั่งสบาย และล็อคตัวคนขับได้ดีเวลาเราหักโค้งตอนอยู่ในความเร็วทำให้รู้สึกมั่นใจ นอกจากนี้เวลาขับไปในที่อากาศหนาวสามารถกดให้เบาะของเราอุ่นได้แต่เฉพาะฝั่งด้านคนขับเท่านั้น โดยปุ่มจะอยู่ตรง Memory Seat ครับ ส่วน Memory Seat จะให้ 3 ตำแหน่งทั้งคนขับ และคนนั่งด้านหน้า
ดีไซน์คอนโซลด้านหน้าจะเป็นเคฟล่า ซึ่งเวลามองเมื่อรถจอดอยู่กับที่จะไม่รู้สึกเวียนหัว แต่อาจจะมีผลกับบางคนที่ไม่ชอบความลายเวลาขับขี่อาจจะทำให้มีอาการมึนหัวได้
ทดสอบการเร่งผมแนะนำว่าการเปลี่ยนโหมดไม่ควรเร่งคันเร่งทันทีควรปล่อยให้ตัวรถปรับจูนโหมดสักครู่ ในโหมด Electric จะตอบสนองความเร็วได้ดีกว่าเนื่องจากไม่ต้องรอรอบเครื่องซึ่งก็เป็นข้อดีของระบบนี้ โหมด Hybrid การเร่งอาจจะต้องรอจังหวะนิดนึง ซึ่งในโหมดต่าง ๆ จะมีความต่างกันตอนเร่ง ทดสอบ 0-100 กม./ชม. ในโหมด Hybrid ใช้เวลา 6.4 วินาที
ในส่วนของแบตเตอรี่ Mercedes-Benz จะรับประกัน 10 ปี หรือ 150,000 กม. สำหรับคนที่มีคำถามว่าถ้าหมดประกันแล้วราคาแบตเตอรี่จะเป็นอย่างไร ซึ่งทาง Mercedes-Benz ได้ให้คำตอบว่าตอนนี้ยังไม่สามารถคาดการณ์ราคาได้เนื่องจากเวลาอีก 10 ปี อาจจะมีแบตเตอรี่รูปแบบใหม่แล้วก็ได้
ในการขับในเมืองสำหรับรถคันนี้ถ้าคุณจะเร่งรถอาจจะมีช่วงให้เสียจังหวะนิดนึง จะมีอาการพุ่งและชะงักให้รู้สึกบ้าง ซึ่งถ้านำรถที่แรงไปขับในทางโล่งก็อาจจะใช้ได้อย่างเต็มปรนะสิทธิภาพ แต่ถ้านำมาขับในเมืองก็อาจจะให้ฟิลลิ่งที่แตกต่างกันนิดนึง แต่สำหรับคันนี้ผมคิดว่าโอเคเลยครับ
จากระยะทางที่ผมขับมาถึงพัทยารวม 120 กม. ตัวรถแสดงความสิ้นเปลือง 3.6 ลิตร / 100 กม. ก็จะอยู่ที่ประมาณ 30 กม./ลิตร ผมว่าโอเคเลยนะครับ ถ้าดูในส่วนแบตเตอรี่ตอนนี้ 0% แล้วครับ แต่น้ำมันตอนนี้เหลือที่ 453 กม. แทบจะไม่ได้ลดตั้งแต่ตอนเริ่มการเดินทางเลยนะครับ
ทดลองระบบ Park Assist เพียงแค่กดปุ่ม P ที่หน้าจอตัวรถจะเริ่มจับสัญญาน เมื่อเราขับไปเจอช่องจอดที่ว่าง หน้าจอจะมีเสียงและสัญลักษณ์เตือน เราก็เพียงกดปุ่ม P ค้างอีกครั้ง และปล่อยเบรกระบบจะทำงานเพื่อนำรถเข้าจอดให้เองทันที แต่ถ้าเรารู้สึกไม่มั่นใจสามารถเหยียบเบรกได้ตลอดเวลา และเมื่อจอดเรียบร้อยจะมีสัญญานเตือนให้เรารู้ จากที่ผมได้เคยทดลองมากับรุ่นอื่น ๆ ของคันนี้รู้สึกได้เลยว่าระบบทำงานได้นุ่มครับ
และถ้าคุณนำรุ่น C350e มาเปรียบเทียบกับ E-Class แน่นอนถ้าเราดูเรื่องราคามันจะไม่แปลกเลยถ้าเรานำ 2 รุ่นนี้มาเปรียบเทียบกัน เพราะ C350e ราคาจะอยู่ที่ 3,350,000 บาท ส่วน E-Class ก็จะมีหลายเรทราคาแล้วแต่รุ่น แต่ก็จะเริ่มต้นอยู่ที่ 3.5 – 3.9 ล้านบาทครับ ซึ่งถ้าคุณเพิ่มเงินอีก 300,000 บาทคุณก็จะได้รุ่น E-Class ซึ่งถ้านำมาเทียบกันแล้วการเพิ่มเงินเพียงนิดหน่อยก็จะได้อัพเกรดเป็นกลุ่ม E-Class คุณจะได้รับตัวถังที่ใหญ่กว่า และ Body ที่กว้างกว่าและที่สำคัญคุณจะได้รถที่มีสเตตัสที่ดีกว่า C-Class
เปรียบเทียบ E-Class
แต่ถ้ามองอีกมุมนึงรุ่น E-Class ยังเป็นรุ่นเก่าอยู่ ยังไม่ได้มีการปรับเปลี่ยนโฉมใหม่แต่อย่างใด แต่สำหรับ C-Class คันนี้มีการเปลี่ยนเยอะอยู่พอสมควร ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง Digital Light, หน้าจอ และระบบต่าง ๆ เป็นต้น และแน่นอนในเรื่องดีไซน์ก็ดูทันสมัยมากขึ้น รวมทั้งเรื่องนวัตกรรม และระบบต่าง ๆ ที่ทันสมัยมากกว่ารุ่น E-Class แต่ถ้าคุณไม่ได้สนใจเรื่องเทคโนโลยีเหล่านี้ สนใจแค่เรื่องขนาดความกว้างความใหญ่ หรือเรื่องสเตตัสของรถ E-Class ก็เป็นอีกรุ่นที่น่าสนใจเช่นเดียวกัน
แต่สำหรับผมแล้ว ณ ตอนนี้ถ้าคุณกำลังมองหารถอยู่แต่ไม่ได้ซีเรียสเรื่องขนาดของรถผมก็จะนะนำตัว Plug-in C350e Hybrid คันนี้ครับ หรือถ้าคุณยังไม่รีบก็รอดูตัว E-Class ที่จะออกมาใหม่ก่อนก็ได้ครับเพราะผมเชื่อว่าอีกไม่เกิน 2 ปีก็น่าจะมีรุ่นใหม่ที่ปรับโฉมออกมาให้จับจองกันครับ เพราะเรื่อง Option ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นไฟ Digital Light, หรือหน้าจอขนาดใหญ่ทาง Mercedes-Benz เองก็กำลังทยอยใส่ไปในรุ่นใหม่ ๆ อย่างเช่นรุ่น GLC ใหม่ถ้าใครสนใจกลุ่มรถ SUV ก็รอติดตามกันน่าจะไม่เกินภายในปีหน้านี้ และนี่ก็คือการทดลองใช้งานจริงกับ Mercedes-Benz C350e Plug-in Hybrid ครับ
*สามารถชมคลิปรีวิวฉบับเต็มได้ที่ Link ด้านล่างนี้เลยครับ
Previous Article
Next Article
You May Also Like
HYUNDAI RAMA9 ฉลองครบรอบ 18 ปี เปิดโชว์รูมจัดกิจกรรมสุดพิเศษ
อ่านเพิ่มเติม
VOLVO CARS ประกาศแต่งตั้งผู้จัดจำหน่ายรายใหม่ที่ จังหวัดพิษณุโลก
อ่านเพิ่มเติม
MMTH โชว์รูมและศูนย์บริการแห่งใหม่ บนถนนรามคำแหง
อ่านเพิ่มเติม
RÊVERSHARGER แท็กทีม KTC ส่งแคมเปญ เอาใจ EV ชาร์จครบ-สะดวก-สบาย
อ่านเพิ่มเติม
Home
News
Review
Spec & Price
Press Release
Activities
Contact Us
Menu
Home
News
Review
Spec & Price
Press Release
Activities
Contact Us