คันนี้ปังอยู่นะ รีวิว BMW 330e M Sport LCI (2023)

Share on facebook
Share on twitter

BMW Series 3 Plug-in Hybrid รุ่นใหม่ล่าสุดประจำปี 2023 กับ BMW 330e M Sport ราคา 2,949,000 บาท รวม BSI แล้ว ราคาสูงกว่ารุ่นก่อน 150,000 บาท มีสิ่งที่ได้เพิ่มมาอย่างแรก คือไฟหน้าดีไซน์คล้ายกับตัว Series 5 นั่นเอง ซึ่งทั้งไฟหน้าไฟท้ายเป็นแบบ LED ทั้งหมด ไฟเดย์ไทม์รันนิ่งไลท์ ไฟตัดหมอกด้านหน้า ด้านหลังมีให้หมด และที่สำคัญอันนี้เป็นแบบ Adaptive ด้วยครับ

จุดต่อไปคือโลโก้ BMW มีสีสันมากยิ่งขึ้น มีหลายสีหลายเฉดไม่ว่าจะเป็นสีขาว สีฟ้า สีแดงตัดกัน ทำให้ดูน่ารักมากยิ่งขึ้นนั่นเอง และที่มาพร้อมกับชุดแต่ง M Sport Pro ดุดันเข้มกว่าเดิม ตั้งแต่กระจังหน้า ล้อ เป็นต้น

ภายในดีไซน์ ตรงหน้าจอคือสวย อลังการมากๆ นี่ก็คือจุดหลัก ที่มีการเปลี่ยนแปลงอัดแน่นด้วยเทคโนโลยี มีลูกเล่นเยอะมากมาย

มุมมองของรถคันนี้ รอบคันทรงสปอร์ต ไม่ว่าจะเป็นฝากระโปรงด้านหน้ามีเส้นสายมีมิติ ด้านข้างมีลูกเล่นมีออร่า ส่วนล้อเป็นองค์ประกอบสำคัญของรถคันนี้ ซึ่งเป็นแบบห้าก้าน มีโลโก้เหมือนกระโปรงหน้า ล้อขนาด 19 นิ้ว ยางด้านหน้าขนาด 225/40 R19 ด้านหลังขนาด 255/35 R19 ติดตั้งคาลิปเปอร์เบรกสีแดงไว้สวยลงตัว

ที่ชาร์จ Plug-in Hybrid จะอยู่ฝั่งซ้ายมือของตัวรถ ยิ่งกว่านั้น ยังมี Keyless Entry ทั้งด้านหน้า ด้านหลัง แถมยังมีไฮไลท์ อีกสองอย่างคือช่วงกลางคืนจะมีไฟบริเวณมือจับ และส่องลงพื้นด้วยลายเฉพาะของรถรุ่นนี้ที่เป็นทรงปีกสามเส้น ช่วยให้เห็นได้ในที่มืด

ส่วนองศาการเปิดประตู ถึงแม้จะเป็นรถสปอร์ตก็ตาม แต่องศาการเปิดประตูถือว่ากว้างทั้งด้านหน้า ด้านหลัง ซึ่งหากมีผู้สูงอายุขึ้นด้านหลังความสูงจากพื้นที่ไม่มาก สามารถขึ้นได้สบาย หรือจะเลื่อนเบาะหน้าเพื่อเพิ่มพื้นที่ด้านหลังก็ยังทำได้ไม่ยาก

ด้านท้ายออกแบบได้สปอร์ตดุดัน มีท่อไอเสียสองฝั่งทั้งซ้ายขวา ดูเป็นรถเรซซิ่งทีเดียว ไฟท้ายมีขนาดใหญ่ ยาว และกว้าง เข้ากับกันชนด้านท้าย เปิดกระโปรงท้ายด้วยไฟฟ้า พื้นที่เก็บของรถ Plug-in Hybrid จะมีพื้นที่เก็บของน้อยกว่ารถเครื่องยนต์ทั่วไป เพราะด้านท้ายจะเป็นตำแหน่งวางแบตเตอรี่นั้นเอง คันนี้สามารถเก็บกระเป๋าเดินทางขนาดเล็กได้ประมาณ 3 ใบ หรือหากเป็นกระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่สำหรับไปต่างประเทศอาจจะใส่ได้เพียง 2 ใบเท่านั้น และยังสามารถเปิดด้านในเพื่อวางของเล็กน้อยอย่างรองเท้าได้อีกจำนวนหนึ่ง หรือสามารถปรับช่องเก็บของให้กว้างขึ้น ด้วยการปลดล็อกลงมาอีกระดับ ยิ่งไปกว่านั้นยังสามารถปลดล็อกเพื่อพับเบาะในห้องโดยสารด้านหลังให้เก็บของได้มากยิ่งขึ้น

ภายนอกของรถรุ่นนี้มีให้เลือก 4 สี คือสีคลาสสิก ขาว ดำ เทา และน้ำเงิน คันนี้ สำหรับผมแล้วชุดแต่งเป็นสีดำก็แนะนำให้เลือกสีดำ หรือสีเทา จะได้เข้ากันได้ดีกว่า แต่สีขาวสี น้ำเงิน ก็สวยเหมือนกัน

ภายใน ดีไซน์ของคันนี้ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงเยอะ ถือว่าดีอยู่แล้ว คือเป็นแบบซอฟท์ทัชหมดเลย โทนสีโดยรถจะเป็นสีดำอ่อน หรือว่าสีเทาเข้ม ไม่ได้มืดเกินไป เบาะทรงสปอร์ต เย็บด้วยด้ายสีฟ้าให้ความสปอร์ตเร้าใจ นั่งสบาย คู่หน้าเป็นแบบไฟฟ้า จุดที่เปลี่ยนแปลงก็คือหน้าจอ ที่เหมือนมาการต้อนรับคนขับเมื่อเข้ามานั่งในรถคันนี้ โดยหน้าจอคนขับมีขนาดใหญ่อลังการ โดยสามารถควบคุมหน้าจอผ่านปุ่มบนพวงมาลัยด้านขวา

ส่วนหน้าจอเอนเตอร์เทนเมนท์ ล้ำมากๆ ในเรื่องของดีไซน์ ออฟชั่น ฟังก์ชั่น การใช้งานอลังการมากๆ กว้างขวางเหมือนสมาร์ททีวี ใช้งานคล้ายกับแอพพลิเคชั่นต่างๆ ซึ่งสามารถกดเข้าดูการทำงานระบบต่างๆ ของรถคันนี้ ตั้งค่าการเปิด-ปิดระบบ ทั้งระบบความปลอดภัย ข้อมูลของรถ การบำรุงรักษา ฯลฯ ยิ่งกว่านั้น ยังดูแผนที่ ฟังเพลง สภาพอากาศ และสามารถเพิ่มแอพพลิเคชั่นเข้าไปได้อีกด้วย อีกทั้งยังสามารถควบคุมหน้าจอได้จากปุ่มควบคุมที่คอนโซนกลางได้อีกด้วย

เกียร์ เป็นแบบเกียร์ชิฟ ไม่ได้เป็นแบบก้านแล้ว ทำให้ดูโล่งขึ้น แค่เหยียบเบรกแล้วกดชิฟเกียร์ขึ้นลงก็สามารถเปลี่ยนเกียร์ได้ตามต้องการ นอกจากนั้นด้านล่างยังมีปุ่ม P สำหรับจอด นอกจากนี้ ในบริเวณเดียวกันยังมีโหมดการขับขี่ให้เลือกมากมาย ทั้งโหมด SPORT, HYBRID, ELECTRIC รวมถึงยังมีระบบช่วยจอด และอีกมากมาย

เหนือขึ้นไปจากคอนโซนกลาง สามารถเปิดขึ้นเป็นที่วางแก้ว ระบบชาร์จไร้สาย ช่องเสียบ USB เป็นต้น ส่วนด้านคอนโซนกลางด้านท้ายนอกจากจะเป็นที่พักแขน แล้วยังสามารถเปิดขึ้นมาเป็นที่เก็บของ และยังมี USB Type C ให้อีก 1 ช่อง มองขึ้นด้านบนหลังคา เป็นหลังคาที่มีซันรูฟให้ด้วย

เบาะด้านหลัง เป็นเบาะทรงสปอร์ต ซึ่งเป็นคนละฟิลกับเบาด้านหน้า เบาะด้านหลังไม่ได้เรียบตรงขนานกับพื้น แต่จะเอียงไปด้านหลังเล็กน้อง ยังคงให้ความสบาย แต่ในกรณีถ้าเดินทางไกลบางคนมีโอกาสที่จะเมารถได้ ส่วนช่องว่างระหว่างขากับคนขับด้านหน้าไม่ได้กว้างมากนัก ส่วนพื้นที่ศรีษะสำหรับคนสูง 170 ซม. ยังมีพื้นที่เหลือเล็กน้อย แต่หากผู้โดยสารสูงกว่านี้ อาจจะอึดอัดมากขึ้นตามไปด้วย จึงแนะนำให้มาลองนั่งดูก่อน ถัดไปเป็นเบาะกลางด้านหลังสามารถพับออกมาเป็นที่วางแขน และวางแก้วน้ำได้ 2 ช่อง และยังมีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นอีกอย่างคือ สามารถปลดล็อกเบาะกลางด้านหลัง ให้สามารถหยิบของจากด้านหลังเบาะได้ รวมถึงยังมีแอร์ด้านหลังปรับได้อย่างอิสระ และมีช่อง USB Type C 2 ช่องบริเวณแอร์หลัง อีกด้วย

เครื่องยนต์ เบนซิน 4 สูบ TwinPower Turbo 2.0 ลิตร เมื่อทำงานร่วมกับระบบไฟฟ้าแล้วให้กำลังสูงสุด 292 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 420 นิวตัน–เมตร ทำความเร็วได้สูงสุด 230 กม./ชม. อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 5.8 วินาที

เกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะแบบ Sport Steptronic ช่วงล่าง Adaptive M ถ้าขับเเบบไฟฟ้าล้วนๆ ต่อหนึ่งการชาร์จ ทาง BMW มีข้อมูลว่าสามารถขับได้ 59 กิโลเมตร แต่จากที่ดูบนหน้าจอจะสามารถขับได้ประมาณ 42 กิโลเมตรต่อหนึ่งการชาร์จ ซึ่งอยู่ที่การขับขี่ของแต่ละคน

BMW 330e Plug-in Hybrid คันนี้ สามารถเลือกการขับขี่ได้หลายแบบ เช่น ขับแบบอยู่ในเมืองระยะทางใกล้ๆ เลือกขับแบบไฟฟ้าได้สบาย 30-40 กิโลเมตร แต่หากขับไปต่างจังหวัด หรือเดินทางไกลแนะนำให้ใช้ HYBRID ECO PRO สมรรถนะการขับขี่ยังมีประสิทธิภาพที่สูงอยู่พอสมควร และประหยัดน้ำมันได้ดีมากๆ จากที่ทดลองขับโหมดนี้ในเมืองอัตราสิ้นเปลืองอยู่ที่ 1.2 ลิตร / 100 กิโลเมตร หรือ ได้ระยะทางประมาณ 80-85 กิโลเมตร / ลิตร ซึ่งแทบจะไม่กินน้ำมันเลย แต่กรณีนี้คือชาร์จแบตไว้เต็มจะมีประสิทธิภาพสูงสุด

แต่ในกรณีถ้าขับแบบแบตเตอรี่ 0 อย่างตอนนี้ เหมือนขับรถเครื่องยนต์ทั่วไป ตัวเลขที่ได้จะอยู่ประมาณ17-18 กิโลเมตร / ลิตร ในโหมด HYBRID ECO PRO แต่ถ้าขับแบบ HYBRID หรือขับแบบ SPORT อัตราสิ้นเปลืองถ้าไม่ได้ใช้โหมดไฟฟ้าไปด้วยจะมีอัตราสิ้นเปลืองที่ประมาณ 15 กิโลเมตร / ลิตร ทั้งหลายทั้งปวงอยู่ที่การใช้งานของผู้ขับ

สมรรถนะการขับขี่โดยรวมของ BMW 330e ดีมากๆ ช่วงล่างค่อนข้างต่ำทำให้การเข้าโค้งการเกาะถนนมั่นใจได้มาก การควบคุมพวงมาลัย เข้าโค้งเปลี่ยนช่องทางได้อย่างมั่นใจ ฟิลลิ่งการจับพวงมาลัยสมูท เทียบกับ Mercedes-Benz ที่จะให้ความรู้สึกดุดัน แกร่งลุย

การทำความเร็ว 0-40 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จะพุ่งนิดนึง เนื่องรถแรงจริงๆ หรืออย่างที่ขับที่ความเร็ว 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เมื่อคิกดาวน์จะพุ่งได้ดั่งใจ แม้จะอยู่ในโหมด ECO PRO ก็ตาม ถ้าปรับเป็น HYBRID ปกติก็จะพุ่งมากขึ้นนิด อย่างเช่นเร่งจาก 80-120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ได้เร็วทันใจ และเบรกมั่นใจ หรือจะเปลี่ยนเป็นโหมด SPORT ก็มีให้เลือกหลายรูปแบบ ซึ่งจะเหมาะกับการขับบนทางด่วนสะมากกว่า โดยการเปลี่ยนโหมดการขับขี่ข้ามไปโหมดอื่นๆ ทำได้อย่างเรียบเนียน ไม่มีการกระตุกให้รู้สึกถึงการปรับเปลี่ยนโหมดการทำงาน

ทัศนวิสัยด้านหน้ากว้างขวาง กระจกมองหลัง กระจกข้าง มองได้ชัดเจน ส่วน Head Up Display มีขนาดตัวอักษรที่ใหญ่ชัดเจน ด้านระบบความปลอดภัยมีมาให้ครบครันทั้ง กล้อง 360 องศา, Blind Spot เตือนด้วยสัญญาณ ไม่มีเสียงเตือน, Lane Departure Warning เป็นต้น

คู่แข่งของ BMW 330e M Sport ได้แก่ BMW 320d เป็นเครื่องยนต์ดีเซล ราคา 2,699,000 บาท ซึ่งได้เปรียบเรื่องค่าตัว ส่วนความประหยัดน้ำมันดีระดับหนึ่งแต่ยังเป็นรองรถรุ่นนี้อยู่บ้าง ด้านดีไซน์หลักใกล้เคียงกันแตกต่างกันที่ชุดแต่ง แต่ราคาที่แตกต่างกันถึงประมาณ 250,000 บาท ต้องลองเปรียบเทียบการใช้งานที่ตอบโจทย์ในแบบที่ต่างกันออกไป

นอกจากนั้นยังมี Mercedes-Benz C350e ที่เปิดตัวไปเมื่อปลายปี 2022 ราคา 3,350,000 บาท และเป็นรถ Plug-in Hybrid เหมือนกัน ซึ่งราคาสูงกว่า 400,000 บาท สามารถขับแบบไฟฟ้าได้ไกลถึง 100 กิโลเมตร มากกว่ารถคันนี้ถึง 2 เท่า ด้านดีไซน์อยู่ที่ความชอบของแต่ละคน แต่ผมชอบ BMW ที่จอขนาดใหญ่แล้วโค้งรับกันได้ลงตัว แต่ด้วยราคาที่สูงกว่าของ Mercedes-Benz ก็จะได้คุณสมบัติที่ดีมากกว่าด้วยเช่นกัน

*สามารถชมคลิปรีวิวฉบับเต็มได้ที่ Link ด้านล่างนี้เลยครับ