ลองขับรถไฟฟ้า EQS 450+ ไฮโซ หรูหรา จากค่ายตราดาว

Share on facebook
Share on twitter

ในที่สุดวันนี้ก็มาถึงแล้วกับรถไฟฟ้า 100 % คันแรกของ Mercedes Benz กับรุ่น EQS 450+

วันนี้เราจะมารีวิวทั้งภายนอก และภายในและที่สำคัญเราจะมาทดลองระบบต่าง ๆ รวมทั้งทดลองขับกันครับว่าที่เค้าเคลมว่าสามารถเดินทางได้ 770 กิโลเมตรนั้นจริงมากน้อยแค่ไหน เดี๋ยวเราไปพิสูจน์กันครับ

Mercedes Benz EQS 450+ เริ่มเปิดให้จองเมื่อช่วงปลายปี 2021 ที่ผ่านมา รถที่เห็นจะเป็นรุ่นนำเข้าจากต่างประเทศ ส่วนในประเทศไทยจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้ เรียกว่าเปิดตัวกันครั้งแรกในโลกกันเลยทีเดียวครับ

จากนี้ไปเรามารอลุ้นกันอีกทีว่าจะเปิดตัวที่ราคาเท่าไหร่ ซึ่งทาง Mercedes Benz ประเทศไทยได้แจ้งว่าEQS ที่จะเปิดตัวในไตรมาส 4 นี้จะเป็นรุ่นที่ประกอบในประเทศไทย จะเป็นสเปคใหม่ทั้งหมดไม่เหมือนกับรุ่นที่นำเข้ามาในตอนนี้

จุดที่อาจจะเปลี่ยนเช่น การปรับเบาะด้านหลังให้เอนได้มากขึ้น, การเพิ่มอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.ใน 5.5 วินาที และจะมีการเพิ่ม Option ต่างๆเข้ามาอีก

ทางเบ๊นซ์บอกว่าตอนนี้มีผู้จองไปแล้วประมาณ 130 คัน ปัจจัยที่ทำให้รถคันนี้น่าสนใจคือเรื่องภาษีที่ลดลง เนื่องจากเป็นรถไฟฟ้า 100% ซึ่งรัฐบาล และองค์กรต่าง ๆ ก็ให้การสนับสนุน

EQS 450+ คันนี้ทั้งแพลตฟอร์ม โครงสร้าง ภายนอก ภายใน ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับรถระบบไฟฟ้า 100% ไม่ใช่การนำแพลตฟอร์มของรุ่นเครื่องยนต์มาดัดแปลงเป็นระบบไฟฟ้า

ในด้านตัวถังนั้นเราจัดให้อยู่ในหมวดของ S-Class ดังนั้นภายในจะกว้างขวางสะดวกสบายมาก

Mercedes Benz EQS 450+ ใช้แบตเตอรี่แบบ Lithium Ion ที่จะบรรจุอยู่ใต้ท้องรถมีน้ำหนักแบตเตอรี่ประมาณ 1 ตัน (น้ำหนักรวมตัวรถ 2.5 ตัน) ระบบการชาร์จแบบ Quick Charge หรือใช้สายชาร์จ DC การชาร์จ 0-80% ใช้เวลาเพียง 32 นาที และหลังจาก 80% จะใช้เวลานานกว่านิดหน่อยเพราะตัวแบตเตอรี่ต้องทำการ Cool Down

เหตุผลที่ทาง Mercedes Benz ไม่นับการชาร์จที่ 0-100% เพราะระหว่าง 80-100% ความต่อเนื่องในการชาร์จจะไม่เหมือนกัน หากใช้ความเร็วเหมือน 0-80% โอกาสแบตเตอรี่จะเสื่อมได้เร็วสูงมาก

แรงม้าของรถคันนี้อยู่ที่ 333 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 568 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 6.2-6.8 วินาทีโดยประมาณ (รุ่นนำเข้า)

ภายนอก การออกแบบรถคันนี้สวยดูโมเดิร์นล้ำสมัยมาก ๆ การจัดวางองค์ประกอบต่าง ๆ ทำได้อย่างลงตัว กระจังหน้าจะเป็นแบบเต็มไม่มีรูระบายอากาศซึ่งเป็นรูปแบบของรถไฟฟ้า ที่ไม่ต้องการรูระบายความร้อน ซึ่งจะล้อไปกับไฟหน้าอย่างลงตัวและสวยงาม ตัวรถเป็นสีกรมท่าดูสวยงามทั้งกลางวัน และกลางคืน

ฝากระโปรงด้านหน้าทาง Mercedes Benz แนะนำว่าไม่ควรเปิด เพราะรถยนต์ไฟฟ้าไม่มีเรื่องระบบเครื่องยนต์ที่ต้องดูแล แนะนำว่าให้เปิดเฉพาะตอนที่นำไปเช็คที่ศูนย์บริการเท่านั้น

ล้ออัลลอยขนาด 21 นิ้ว ถือว่าเป็นจุดเด่นของรถคันนี้เลยก็ว่าได้ ส่วนไฟท้ายจะเป็นแบบแนวยาวแบบเกลียวคลื่นโค้ง 3 มิติ ทำให้ดูล้ำสมัยมากขึ้น และมีสปอยเลอร์ด้านหลังทำให้ดูสปอร์ตมากขึ้น ด้านหน้าของข้างรถจะมีช่องเติมน้ำสำหรับระบบปัดน้ำฝน การเปิดท้ายรถมีระบบเซ็นเซอร์สั่งการโดยใช้เท้าได้

ภายใน
ภายในดูอลังการงานสร้างมาก โดยเฉพาะในส่วนของหน้าจอแบบเต็มคอนโซลหน้า ดูหรูหราทันสมัย เวลาตอนกลางคืนจะมีไฟ Ambient Light ไล่ตั้งแต่ขอบคอนโซลจนไปถึงขอบประตูด้านในรอบคันที่สามารถเปลี่ยนสีได้ คอนโซลหน้าเป็นสีเทาอ่อน ที่นั่งด้านหลังนิ่มสบายกว้างขวาง รับกับสรีระของผู้นั่งได้เป็นอย่างดี

สิ่งอำนวยความสะดวก
ระบบแอร์จะมีการติดตั้งตัวกล่องฝุ่น PM 2.5 ให้ด้วย หน้าจอฝั่งผู้ขับจะเป็นรูปแบบคลาสสิคของ Mercedes Benz ซึ่งสามารถเช็คสถานะการขับขี่ต่าง ๆ ได้ พวงมาลัยปรับไฟฟ้าและมาพร้อมปุ่มฟังก์ชั่นต่าง ฝั่งขวาสามารถกดเรียกดูแผนที่ และระบบการขับขี่ต่าง ๆ อีกทั้งยังเปลี่ยนรูปแบบของหน้าจอ ส่วนฝั่งซ้ายจะเป็นการปรับในเรื่องของ Entertainment ส่วนเกียร์จะอยู่ที่พวงมาลัยฝั่งซ้าย

หน้าจอตรงกลางเป็นระบบทัชสกรีน สามารถดูข้อมูลของแบตเตอรี่ ข้อมูลของตัวรถ การขับขี่ต่าง ๆ กล้องรอบคัน และปรับแอร์แบบแยกซ้าย-ขวา รวมทั้งการปรับไฟ Ambient Light ในห้องคนขับ และยังสามารถย้ายฟังก์ชั่นการปรับ Entertainment มายังจอฝั่งคนนั่งด้ายซ้ายได้อีกด้วย

คอนโซลกลาง จะมีปุ่ม Push Start , การปรับกล้อง, และปุ่มปรับระบบต่าง ๆ ที่ช่วยในการควบคุมรถ เช่นระบบช่วยจอด, โหมดการขับขี่, เช็คปริมาณแบตเตอรี่ที่จะทำงานคู่กับหน้าจอตรงกลาง และมีช่องเก็บของขนาดใหญ่ พร้อมช่อง USB จำนวน 2 ช่อง

การขับขี่
รถคันนี้สามารถปรับโหมดการขับขี่ได้ 4 แบบคือ Eco, Comfort, Sport, Individual และข้อดีของการขับรถไฟฟ้าคือเราไม่ต้องรอรอบ เราสามารถทำอัตราเร่งได้ตามใจ

อัตราเร่ง การเบรค การเข้าโค้ง ความเกาะถนนของ EQS นี้ทำได้อย่างนุ่มนวล อัตราเร่งแรงมาก ๆ การเร่งบางช่วงอาจจะมีอาการพุ่งของตัวรถ (เมื่อเหยียบคันเร่งหนักๆ หรือเรียกว่า Kick Down ) การชาร์จ 1 ครั้งสามารถขับขี่ได้ 770 กิโลเมตร แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับการขับขี่ของเราด้วยนะครับ เพราะนอกจากการขับขี่แล้วอีกอย่างหนึ่งก็คือการใช้ระบบพลังงานต่าง ๆ ภายในตัวรถ เช่น การเปิดแอร์, การชาร์จโทรศัพท์ , การเปิดหน้าจอ Display และไฟ Ambient Light ก็จะกินพลังงานจากแบตเตอรี่เช่นเดียวกัน

ถ้าแบตเตอรี่เหลือ 5% รถจะสามรถเดินทางได้อีกประมาณ 40 กม.ระบบจะมีการเตือนให้ปิดแอร์ รวมถึงระบบต่าง ๆ เพื่อยืดระยะทางเพิ่มอีกประมาณ 50-60 กม. รวมแล้วก็จะได้อีกประมาณ 100 กม.

ระบบความปลอดภัย จะมีระบบ Blind Spot ส่งเสียงเตือนเมื่อมีรถอยู่ในมุมอับสายตา และเวลารถคันหน้าเข้ามาให้ระยะที่ใกล้จะมีไฟสัญญานแสดงเตือนที่หน้าจอคนขับ และถ้าเราไม่ได้เหยียบเบรคตัวรถจะเบรคเบา ๆ ให้โดยอัตโนมัติเพื่อเว้นระยะห่าง นอกจากนี้ยังมีระบบเซ็นเซอร์ และเรด้า พร้อมกล้อง 360 องศาที่อยู่ที่โลโก้ด้านหน้ารถ

เสียงรบกวนในรถเบามาก ๆ แต่เมื่อเร่งถึง 115 – 120 กม./ชม. เราจะได้ยินเสียงลมเข้ามาเล็กน้อย การควบคุมพวงมาลัย ควบคุมได้มั่นคง

ในเรื่องของเบาะคนขับ ถ้าใครชอบแนวสปอร์ตก็จะชอบเบาะแนวนี้ แต่ถ้าใครชอบแนวคอมฟอร์ตก็จะรู้สึกว่านั่งไม่ค่อยสบายถึงแม้ว่าจะมีระบบต่าง ๆ ที่จะช่วยอำนวยความสะดวกก็ตาม

ผมขับจากกรุงเทพมาที่เขาใหญ่ จังหวัดสระบุรี โดยไม่ได้ขับต่อเนื่องมีจอดแวะพักบ้าง ระยะทางที่โชว์ที่หน้าจอเหลือประมาณ 400 กว่ากิโลเมตร แต่การทดสอบของผมไม่ได้ทดสอบการขับประหยัดพลังงาน เราเหยียบเต็มที่ใช้ระบบต่าง ๆ อย่างเต็มที่ จึงทำให้ระยะทางที่ Mercedes Benz เคลมมาว่าสามารถวิ่งได้ 770 กิโลเมตร หายไปแล้วประมาณ 300 กิโลเมตร แต่ผมก็คิดว่าถ้าเราใช้ในเมืองก็จะประหยัดได้อย่างเต็มที่

เผลอๆใช้ไปเป็นเดือนถึงจะชาร์จก็ได้นะครับ !