รีวิวเปรียบเทียบการใช้งาน New Honda City Hatchback (2024)

Share on facebook
Share on twitter

ข้อสังเกตุก่อนซื้อ Honda City ในปี 2024 ซึ่ง Honda City ของปีนี้จะแบ่งเป็น 2 แบบนั่นคือ Hatchback แบบ 5 ประตู กับ Sedan แบบ 4 ประตู สิ่งสำคัญเลยเราจะต้องดูว่าเราชอบแบบไหน และเรื่องราคาก็เป็นอีก 1 เรื่องที่สำคัญ นอกเหนือจากทั้ง 2 แบบนี้แล้วเรายังสามารถเลือกเครื่องยนต์ว่าจะเป็นแบบ 1.0 Turbo หรือ Hybrid

ราคารุ่น Hatchback e:HEV RS ราคาจะอยู่ที่ 799,000 บาท และตัว Sedan เครื่องยนต์ e:HEV ราคาจะอยู่ที่ 839,000 บาทซึ่งราคาจะต่างกันอยู่ที่ 40,000 บาท

ถ้าเป็นรุ่นรองลงมาคือรุ่น Hatchback e:HEV SV ราคาจะอยู่ที่ 729,000 บาท เปรียบเทียบกับตัว Sedan ราคาจะอยู่ที่ 769,000 บาท ราคาก็จะต่างกันอยู่ที่ 40,000 บาทเช่นเดียวกัน

แต่ถ้าเป็นเครื่องยนต์ 1.0 Turbo รุ่นท็อปสุดในตัว Hatchback ราคาจะอยู่ที่ 749,000 บาท และตัว SV จะอยู่ที่ 679,000 บาท ซึ่งถ้าเป็นรุ่น SV และรุ่น RS ที่เป็นเครื่องยนต์ 1.0 Turbo ราคาของ Hatchback กับ Sedan จะเหมือนกัน แต่ถ้าดูรุ่น S+ ซึ่งเป็นตัวต้นสุด Hatchback จะอยู่ที่ 599,000 บาท แต่ถ้าเป็นตัว Sedan ราคาจะอยู่ที่ 629,000 บาท

ซึ่งเรื่องราคานี้ถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งเลยครับเพราะถ้าคุณดูที่ตัวรถก็จะไม่รู้สึกต่างกันมากยกเว้นเรื่อง Option และการออกแบบบางอย่างเช่น ที่จับประตูภายนอก กระจกมองข้างที่สามารถพับแบบไฟฟ้าและมีไฟเลี้ยว เพราะถ้าเป็นตัว S+ จะปรับไฟฟ้าได้อย่างเดียวไม่มีไฟเลี้ยวมาให้

ล้ออัลลอยจะขนาดเดียวกันแต่มีดีไซน์ต่างกัน ถ้าเป็นตัว Hatchback จะเป็นโทนสีดำแต่ถ้าเป็นตัว Sedan จะเป็นสีทูโทน ภายในตัว Hatchback จะเป็นสีดำและ Sedan จะเป็นสีดำกับแดงเข้ม ซึ่งแล้วแต่รายละเอียดของรุ่นย่อยที่เราเลือก

แต่เรื่องราคาที่แจ้งจะเป็นราคา ณ ตอนนี้ในอนาคตอาจจะมีการลดราคาของรุ่น Sedan ลงมาเท่า Hatchback หรือไม่ เนื่องจากตอนนี้รถยนต์ไฟฟ้าจากฝั่งจีนก็เข้ามาเยอะ และนี่ก็เป็น 1 ในกลยุทธ์ที่ทาง Honda นำรุ่น City มาลดราคาลงมาเพื่อสู้กันในตลาด

นอกจากเรื่อง 4 ประตู 5 ประตู และเรื่องของราคา ก็ยังมีเรื่องของเครื่องยนต์ Turbo และ Hybrid ถ้าเป็น Turbo 1.0 จะเน้นเรื่องความสนุกในการขับขี่ แต่ถ้าเป็นตัว Hybrid จะประหยัดมากกว่าและมีอัตราเร่งที่สมูทกว่า

และตอนนี้เราก็มาลองรุ่น Hatchback 1.0 Turbo RS กันก่อนที่จะไปเปรียบเทียบกับตัว Hybrid นะครับ แต่ถ้าท่านใดเคยขับ City ตัวที่เป็น Sedan ฟิลลิ่งมันจะเหมือนตัวเดิมเลยครับมันจะแตกต่างอยู่นิดเดียวในเรื่องขนาด และน้ำหนักของตัวรถที่จะทำให้ตัว Sedan และ Hatchback นั้นแตกต่างกันแต่ภาพรวมก็จะใกล้เคียงกันครับ

ภาพรวมของ Hatchback 1.0 Turbo RS อัตราการเร่งดีมาก ๆ ไม่ว่าจะขับอยู่ในเมืองหรือขับข้ามจังหวัดอัตราการเร่งในความเร็ว ต่ำ-กลาง-สูง ตอบสนองได้ดีมาก ๆ ซึ่งนี่ก็คือไฮไลท์ของ Honda อยู่แล้วครับ ถึงแม้ว่าจะเป็นเครื่องยนต์ 1.0 Turbo ก็ตามซึ่งอันนี้เปรียบเทียบรวมอยู่ในหมด Eco Car ด้วยนะครับ การขับขี่จะได้ยินเสียงเร่งของเครื่องยนต์ได้ชัดเจน ทำให้ได้ฟิลลิ่งขับสนุก และสปอร์ทมาก ๆ นอกจากเครื่องยนต์แล้วพวงมาลัยก็ถือเป็นไฮไลท์ของคันนี้อีกอย่างหนึ่ง ขับแล้วมั่นใจ Grip จับแล้วถนัดกระชับมือมือควบคุมง่าย และน้ำหนักพอดีไม่หนักหรือเบาจนเกินไปการควบคุมถือว่าดีมาก ๆ

ช่วงล่างให้การเกาะถนนที่ดี และถ้าเราไม่ใช่คนขับรถที่ใช้ความเร็วที่สูงมากผมคิดว่าเพียงพอแล้วครับ ส่วนเรื่องทัศนะวิสัยการขับขี่ถือว่ากว้างทั้งด้านหน้า และด้านหลัง แต่จะมีเสา A บังด้านข้างในช่วงการกลับรถ และการมองรถจากด้านข้างอยู่บ้าง

ความสะดวกสบายของเบาะจากที่นั่งมาสักพักนึงก็ถือว่าอยู่ในระดับกลาง แต่ถ้าขับในระยะเวลานาน ๆ อาจจะมีอาการเมื่อยบ้าง ถ้าท่านใดกำลังสนใจอยู่แนะนำให้ทดลองขับระยะเวลานาน ๆ ประมาณ 1 ชั่วโมงดูครับว่าชอบหรือไม่ แต่มุมมองของผมถ้าเราขับข้ามจังหวัดอาจจะต้องหยุดแวะพักบ้าง

การเก็บเสียงจะทำไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เสียงรอบข้างจะเข้ามาให้ได้ยินอย่างชัดเจนและเวลาเร่งความเร็วประมาณ 100 กม./ชม.จะได้ยินเสียงเครื่องยนต์ และเสียงลมที่เข้ามาพอสมควร

รุ่น e:HEV จะให้ความรู้สึกที่ต่างจากตัว Turbo อย่างชัดเจน ตัว 1.0 Turbo จะเป็นสาย Sport ขับสนุก แต่สำหรับตัว e:HEV ที่จะมีความเป็นพรีเมี่ยมมากขึ้นทำให้การขับขี่ไม่สนุกเท่าตัว 1.0 Turbo แต่สำหรับผมคิดว่าการขับขี่สมูทกว่า และแรงกว่าด้วยครับรวมทั้งเสียงของเครื่องยนต์ก็จะเบากว่าแต่ก็ยังได้ยินอยู่

จุดที่เหมือนกันของทั้ง 2 คันคือทำความเร็วได้สมูทและต่อเนื่อง แต่ถ้าใช้ความเร็วสูงตัว e:HEV จะตอบสนองช้ากว่าตัว 1.0 Turbo เนื่องจากตัวเครื่อง Hybrid จะมีทั้งน้ำหนักของมอเตอร์และแบตเตอรี่รวมทั้งการเซ็ตลิมิทเพื่อป้องกันการ Over Heat

ในรุ่น e:HEV เวลาเหยียบคิกดาวน์จะใช้เวลาทำรอบนิดหน่อยซึ่งจะคล้าย ๆ กับตัว Turbo อีกจุดนึงที่รู้สึกแตกต่างนั่นคือพวงมาลัยที่นุ่มกว่า ควบคุมสบายกว่าเมื่อเทียบกับตัว Turbo

การเกาะถนนก็อยู่ในระดับกลางเช่นเดียวกัน ถ้าขับอยู่ในความเร็วมาตราฐานก็เอาอยู่สบาย ๆ ครับ ทัศนะวิสัยทั้งด้านหน้า-ด้านหลัง กว้างชัดเจนถึงแม้จะเป็นรุ่น Hatchback ที่บางคันจะให้ความรู้สึกบีบ ๆ หน่อย แต่คันนี้ไม่ได้รู้สึกแบบนั้นเลย ส่วนเสียงรบกวนต่าง ๆ จะรู้สึกได้ว่าจะเก็บเสียงได้ดีกว่าตัว Turbo นิดหน่อย

สรุป Honda City Hatchback จะมีอยู่ 2 แบบนั่นคือ 1.0 Turbo และ e:HEV ซึ่งถ้าพูดถึงภาพรวมแล้วจุดที่แตกต่างก็ขึ้นอยู่ที่ว่าเราอยากจะได้แบบไหน ในเรื่องของ Option และระบบต่าง ๆ แต่ถ้าเราจะพูดถึงเรื่องฟีเจอร์และฟังก์ชั่นต่าง ๆ จะมีในเรื่องของ Apple CarPlay ที่สามารถเชื่อมต่อแบบไร้สายได้ รวมถึง Honda Lane Watch และแอร์หลังซึ่ง 2 อย่างนี้จะมีในรุ่นท็อปเท่านั้น เราก็ต้องมาดูว่าเราต้องการใช้มันรึเปล่าเพราะถ้าต้องการเราก็ต้องดูตัว e:HEV ที่เป็นตัวท็อปเลย แต่ถ้าไม่จำเป็นเราก็ดูตัวที่ถัดลงมาก็ได้ครับ

แต่ถ้าคุณกำลังตัดสินใจว่าจะเลือก Hatchback ตัวไหนดีผมก็ขอบอกว่าตัวที่เป็น e:HEV ที่เป็นตัวท็อปก็น่าสนใจครับ แต่ถ้าคุณเปรียบเทียบกับตัวที่ถัดลงมาก็จะต่างกันอยู่ที่ 40,000 บาทซึ่งจะหั่นราคากันอยู่พอสมควร

สำหรับ เรื่องอัตราสิ้นเปลืองจากที่ผมได้ทดลองขับมาตัว 1.0 Turbo จะอยู่ที่ประมาณ 16 กม./ลิตร และตัว e:HEV จะอยู่ที่ประมาณ 21 กม./ลิตร ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่ที่การใช้งานของแต่ละท่านด้วยครับ แต่ที่แน่นอนเลยคือตัว e:HEV จะมีอัตราสิ้นเปลืองที่ประหยัดกว่า 1.0 Turbo แน่นอน แต่ 1.0 Turbo ก็จะขับสนุกกว่าครับ

*สามารถชมคลิปรีวิวฉบับเต็มได้ที่ Link ด้านล่างนี้เลยครับ