Home
News
Review
Spec & Price
Press Release
Activities
Contact Us
Menu
Home
News
Review
Spec & Price
Press Release
Activities
Contact Us
Search
Search
Close this search box.
Search
Search
Close this search box.
ขับ MG3 Hybrid+ กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ใช้น้ำมัน 1 ถัง !
October 22, 2024
Youtube
มีโอกาสได้ลองขับ MG3 Hybrid+ จากกรุงเทพฯ ไปเชียงใหม่ เมื่อไม่นานมานี้ เป็นอีกหนึ่งทริปที่ขับกันตั้งแต่เช้า ยันมืด เริ่มจากกรุงเทพฯ อยุธยา สิงห์บุรี พักเบรกที่ นครสวรรค์และที่จังหวัดตาก 2 จุด ก่อนขับไปสู่จุดหมายปลายทางถึงตัวเมือง จ. เชียงใหม่
ขับ MG3 Hybrid+ กันครั้งนี้มีเงื่อนไขเดียวที่ท้าทายด้วยการเติมน้ำมันเต็มถังขนาดความจุ 36 ลิตร จะไปได้ไกลแค่ไหน เป้าหมายของเรา จ.เชียงใหม่ ระยะทาง 600 กว่ากิโลฯจะพอหรือไม่ ? โดยเรื่องของอัตราสิ้นเปลืองนั้นทางค่าย MG เคลมไว้อยู่ที่ 26.2 กิโลเมตร / ลิตร (NEDC)
MG3 Hybrid+ มีให้เลือก 2 รุ่นย่อย เริ่มต้นได้แก่ รุ่น D และ รุ่น X รุ่น X เป็นรุ่นท็อปสุดซึ่งคันที่ผมขับคือรุ่น X แต่ทั้ง 2 รุ่นนี้ไม่ว่าจะเป็นรุ่นไหนก็ตามสมรรถนะการขับขี่จะเหมือนกัน จะต่างกันตรงที่ออฟชั่นที่ติดมากับตัวรถเท่านั้นนั่นเอง
ขับสตาร์ทออกจากกรุงเทพฯจากโรงแรมฝั่งตรงข้ามสนามบินดอนเมือง ออกกันแต่เช้าขับไปเรื่อยๆมุ่งหน้าสู่นครสวรรค์ เป้าหมายแรกที่จะเช็คดูว่าสิ้นเปลืองน้ำมันไปสักเท่าไหร่?
เราขับกันใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงครึ่งกับระยะทาง 223 กิโลเมตร ก็ถึงนครสวรรค์ เราไม่ได้ขับแบบประหยัด จำกัดความเร็วเหมือนอย่างที่เขาขับแข่งๆกัน ครั้งนี้เราขับกันตามปกติ ช้าบ้าง เร็วบ้าง รถติดบ้าง ขับตามสภาพจราจรที่แท้จริง พอถึงนครสวรรค์ก็มาดูอัตราสิ้นเปลืองบนหน้าจอกัน
สรุปว่าช่วงขับจากกรุงเทพฯถึงนครสวรรค์ตัวเลขโชว์อยู่ที่ 19.6 กิโลเมตร / ลิตร และบนหน้าจอยังแสดงบอกระยะทางว่ายังสามารถวิ่งไปได้อีก 512 กิโลเมตร ... ถือว่าโอเคเลยนะครับ
แวะนครสวรรค์พักใหญ่ๆทานข้าวกันเสร็จสรรพก็มุ่งหน้าขับกันต่อไปมุ่งหน้าสู่ จังหวัดตาก พักจ.ตากสักครู่ เราก็ขับกันต่อไปจังหวัดเชียงใหม่เป้าหมายของเรากัน
พอถึงเชียงใหม่ ปั๊ม ปตท.ก่อนเข้าตัวเมือง เราดูระยะทางทั้งหมดขับมา 661 กิโลเมตร ใช้เวลา 8.12 ชั่วโมง ตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองบนหน้าจอแสดงผลที่ 19.6 กิโลเมตร / ลิตร และบนหน้าจอแสดงผลว่าน้ำมันหมดเกลี้ยงถังเลยครับ
เราก็เติมน้ำมันกันที่ปั๊ม ปตท.แห่งนี้ เติมแก๊สโซฮอลล์ 95 เติมไปเต็มถังได้อีก 34 ลิตร (แสดงว่าน่าจะเหลือติดก้นๆถังอยู่ 2 ลิตร) คิดเป็นอัตราสิ้นเปลืองประมาณ 19.45 กิโลเมตร / ลิตร
ตัวเลขนี้สำหรับผมถือว่าดีทีเดียวครับ
ช่วงที่ขับจากนครสวรรค์มาจังหวัดตาก เรามีโอกาสใช้ความเร็วในทุกระดับทั้งสูง กลาง ต่ำ ตัวนี้ตอบสนองทำได้ดีมากๆ ไม่อืด เนื่องจากรถไฮบริดทำงานทั้งเครื่องยนต์ และมอเตอร์ ควบคู่กัน อัตราเร่งตอบสนองดีมาก ที่น่าเรียนรู้เรื่องหนึ่งคือการเลือกขับโหมดแบบ EV / HEV เราจะไม่สามารถเลือกเองได้ จะขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการขับขี่ของเรา หากขับแบบประหยัดเรื่อยๆ ไม่ทำความเร็วมากระบบก็จะอยู่ในโหมดขับแบบ EV แต่หากขับด้วยความเร็วระบบก็จะทำงานด้วย HEV และที่สำคัญยังสามารถตั้งค่า KERS เพื่อชาร์จพลังงานกลับได้ 3 ระดับอีกด้วย ซึ่งเราสามารถดูการทำงานได้บนหน้าจอคนขับ และการตั้งค่าที่หน้าจอเอนเตอร์เทนเมนท์
ได้ลองนั่งที่เบาะหลัง ภาพรวมถือว่าโอเค อยู่ในระดับกลางๆ ไม่ได้กว้างและก็ไม่ได้แคบ เฮดรูมอาจจะชิดไปหน่อย สำหรับความสูงระดับ 170 เซนติเมตร ส่วนเรื่อง Leg Room ค่อนข้างกว้าง แต่ไม่สามารถเหยียดขาได้สุด ซึ่งภาพรวมๆถือว่านั่งสบาย เบาะนั่งไม่ชัน เอนได้ระดับนึงถือว่าโอเค
แต่มีข้อสังเกตเรื่องการเก็บเสียงนิดหน่อยครับ ในส่วนเบาะด้านหน้าไม่มีปัญหา แต่เบาะหลังจะมีเสียงรบกวนพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นเสียงรอบๆ เสียงพื้นถนน เสียงล้อ เสียงลม ส่งผลให้การคุยกับคนนั่งด้านหน้า หรือฟังเพลง จากเบาะหลังอาจจะไม่ได้ชัดมากนัก ส่วนที่วางแขนตรงกลางเบาะหลังจะไม่มีให้หากต้องการวางของหรือแก้วน้ำต้องอาศัยแผงประตูด้านข้าง ส่วนแอร์ด้านหลังรุ่นนี้มีติดมาให้ด้วย
ที่น่าสังเกตุอีกจุดหนึ่งก็คือที่นั่งเบาะหลังนั้นตรงใต้เบาะจะเป็นจุดวางของตำแหน่งแบตเตอรี่ ถ้าหากขับด้วยความเร็วสูง หรือคิ๊กดาวน์ เร่งความเร็วเรื่อยๆ คนที่นั่งเบาะหลังจะรู้สึกว่าเบาะอุ่นๆ เนื่องจากแบตเตอรี่จะทำงานค่อนข้างเยอะ แต่ถ้าหากขับแบบเรื่อยๆ ก็จะปกติ ไม่รู้สึกอะไร
MG3 Hybrid+ เป็นรถยนต์ขนาดเล็ก เปรียบเทียบได้กับ Honda City, Yaris Ative, Nissan Almera, Mazda 2 ซึ่งเป็นรถทรงกะทัดรัด ด้านท้ายอาจจะไม่ได้กว้างสักเท่าไหร่นัก ใส่กระเป๋าเดินทางได้ใบนึงก็โอเคแล้ว แต่หากต้องการพื้นที่เพิ่มก็สามารถพับเบาะแถวที่สองได้
ไฮไลท์ของ MG3 Hybrid+ นี้คือเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร ทำงานผสานกับ มอเตอร์ไฟฟ้า แบตเตอรี่เป็น Lithium-Ion ความจุ 1.83 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง ถือว่าใหญ่พอควร เลือกขับขี่ได้ 3 โหมดมี NORMAL, ECO และ SPORT ส่วนการทำงานของระบบไฮบริดจะมี 2 แบบ คือ EV และ HEV ซึ่งจะขึ้นแสดงอยู่ที่จอคนขับมุมขวาล่าง ถ้าหากขึ้น EV นั่นหมายความว่าเครื่องยนต์จะทำงานจากมอเตอร์อย่างเดียว แต่หากขึ้น HEV คือเป็นระบบการทำงานแบบไฮบริด ซึ่งไม่ว่าจะขับโหมดไหน ทาง MG บอกว่าจะช่วยประหยัดน้ำมันได้จริงทั้งนั้น
MG3 Hybrid+ คันนี้ ใช้ยาง Lancaster สัญชาติจีนจาก เจนเนอรัล รับเบอร์ ซึ่งหากต้องการเปลี่ยนยางสามารถไปศูนย์บริการเอ็มจี หรือถ้าอยากจะได้ประสิทธิภาพที่ดีมากกว่านี้ ก็สามารถเปลี่ยนยางเป็นแบรนด์อื่นเลยก็ได้
ส่วนระบบความปลอดภัยของ MG3 Hybrid+ คันนี้ให้มามากมาย เสียดายไม่มี Blind Spot มาด้วย แต่ระบบอื่นๆ มีมาให้อย่างระบบเตือนออกนอกเลน กล้อง 360 องศา รวมถึงระบบอำนวยความสะดวกต่างๆ เช่น Apple CarPlay, Android Auto สามารถเชื่อมต่อแบบไร้สายได้ โดยควบคุมได้ผ่านทางหน้าจอกลาง ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการใหม่ล่าสุดแล้วด้วยครับ
MG3 Hybrid+ คันนี้ ใช้ยาง Lancaster สัญชาติจีนจาก เจนเนอรัล รับเบอร์ ซึ่งหากต้องการเปลี่ยนยางสามารถไปศูนย์บริการเอ็มจี หรือถ้าอยากจะได้ประสิทธิภาพที่ดีมากกว่านี้ ก็สามารถเปลี่ยนยางเป็นแบรนด์อื่นเลยก็ได้
สรุปโดยรวมรวบรัดตัดความขับ MG3 Hybrid+ขนาดเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร พละกำลัง 194 แรงม้า มีความจุถังน้ำมันขนาด 36 ลิตรนี้จากกรุงเทพฯมาถึงเชียงใหม่รวมระยะทาง 661 กิโลเมตรนั้นทำได้แจ่มแจ๋วจริงๆครับ
MG3 Hybrid+ มีจำหน่ายแล้วมีให้เลือก 2 รุ่น รุ่น D ราคา 579,900 บาท และรุ่น X ราคา 619,900 บาท
Previous Article
Next Article
You May Also Like
NISSAN พร้อมส่งมอบ SERENA e-POWER ให้กับลูกค้ากลุ่มแรก
อ่านเพิ่มเติม
รีวิว LEAPMOTOR C10 รถครอบครัวที่มีพื้นที่กว้างมาก
อ่านเพิ่มเติม
GWM ORA Good Cat มาในลุคใหม่ “สีขาวหลังคาสีดำ พร้อม Black Package”
อ่านเพิ่มเติม
EV PRIMUS เดินหน้าโรงงานเต็มสูบ เร่งส่งมอบ WULING Binguo EV ให้ถึงมือลูกค้า
อ่านเพิ่มเติม
Home
News
Review
Spec & Price
Press Release
Activities
Contact Us
Home
News
Review
Spec & Price
Press Release
Activities
Contact Us