Mazda CX-8 SP Exclusive หรูหรา อเนกประสงค์ นั่งสบายด้วยกัปตันซีท

Share on facebook
Share on twitter

วันนี้จะมารีวิว Mazda CX-8 ไมเนอร์เชนจ์โมเดลปี 2022 รถรุ่นนี้มีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในไทยเมื่อประมาณสามปีที่แล้ว เป็นรถเอสยูวีที่ใหญ่ที่สุดในกลุ่มของมาสด้าในประเทศไทย แต่หลังจากเปิดตัวกระแสก็ลดลงไปพอสมควร หนึ่งในปัจจัยก็คือราคาที่สูงอยู่พอสมควร มาวันนี้สามปีผ่านไปราคายังสูงอยู่ แต่ความรู้สึกของผมรู้สึกว่าน่าสนใจมากยิ่งขึ้น เพราะนี้คือตัวท็อปของรุ่นเครื่องยนต์เบนซินที่เป็นกัปตันซีท แบบ 6 ที่นั่ง ใช้งานได้เอนกประสงค์ ตอบโจทย์ได้หลากหลายรูปแบบ ทั้งนี้ในรุ่นเริ่มต้นจะมีออฟชั่นให้มาครบครัน และมีให้เลือกถึง 5 รุ่นย่อย ดังนี้

เครื่องยนต์เบนซิน
- รุ่น 2.5 S ราคา 1,549,000 บาท
- รุ่น 2.5 SP ราคา 1,619,000 บาท
- รุ่น 2.5 SP Exclusive ราคา 1,699,000 บาท

เครื่องยนต์ดีเซล
- รุ่น XDL ราคา 1,849,000 บาท
- รุ่น XDL Exclusive ราคา 2,199,000 บาท

เปรียบเทียบคู่แข่ง คู่แข่งกลุ่มแรกของ Mazda CX-8 ได้แก่กลุ่มรถ PPV อย่าง Ford Everest, Isuzu Mu-X, Toyota Fortuner, Nissan Terra, Mitsubishi Pajero Sport เป็นต้น ซึ่ง Mazda CX-8 จะได้เปรียบเรื่องความพรีเมียม หรูหราลักชัวรี่ โดยเฉพาะเบาะกัปตันซีท ถือเป็นความโดดเด่นที่กินขาดไปเลย

คู่แข่งในกลุ่มรถยุโรปอย่าง BMW X1, Mercedes-Benz GLA หรือซีดานอย่าง BMW Series 2, Mercedes-Benz A Class ในแง่ของราคา รถยุโรปจะได้แบรนด์ กับความเท่ที่แตกต่างกันออกไป แต่สำหรับ Mazda CX-8จะได้ออปชั่น พื้นที่ใช้งานกว้างขวางกว่ารถยุโรป เป็นต้น

เริ่มต้นที่เบาะแถวสอง พื้นที่โดยรวมกว้างมากๆ พื้นที่ช่วงเท้าเหลือเฟือ มีความเป็นส่วนตัวมากๆ เบาะนั่งสบายมีที่วางแขน มีแอร์ด้านหลังสามารถปรับเองได้ ม่านบังแดดให้ทั้งสองฝั่ง ได้ฟีลเป็นแบบเอ็กซ์คลูซีฟตามชื่อรุ่นย่อยของ Mazda CX-8 เบาะแถวสองรุ่นนี้ปรับแบบแมนนวล แต่ถ้าเป็นรุ่นดีเซลตัวท็อปเบาะแถวสองจะปรับแบบไฟฟ้าได้ด้วย นอกจากนั้นยังมีที่วางแก้วสองช่องอยู่ตรงกลาง และมีช่องยูเอสบีสองช่อง

สำหรับเบาะแถวที่สาม เฟิร์สอิมเพรสชั่นรู้สึกว่าแบบเฮ้ยมันจะนั่งได้หรอ! แต่พอใช้งานจริงนั่งได้นะ หนึ่งในเหตุผลหลักๆ เลย เพราะว่ารถคันนี้เป็นเบาะแบบกัปตันซีท ทำให้มีช่องตรงกลางค่อนข้างกว้างสามารถยืดขาได้ แต่ถ้าเป็น Mazda CX-8 ที่เป็นเบาะเจ็ดที่นั่งจะปิดทึบระหว่างเบาะแถวสอง และเบาะแถวสามเลยทีเดียว ส่วนเฮดรูมพื้นที่โดยรวมดีใช้ได้เลย และมีมีที่ว่างแก้ว ที่วางของให้ทั้งสองฝั่ง มีช่องยูเอสบีให้ ส่วนเรื่องแอร์ใช้ร่วมกับเบาะแถวที่สอง แอร์เย็นฉ่ำ โอเคเลย โดยเฉพาะด้านหน้า สบายๆ หายห่วง ส่วนแอร์หลังมีแค่จุดเดียว ซึ่งสามารถปรับแอร์หลังให้ไปที่เท้าของเราได้ด้วย แต่แอร์ด้านหน้าจะเบาลงเยอะอยู่พอควร

ภายนอกด้านหน้ารถ Mazda CX-8 มีความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดเจน จุดแรกกระจังหน้าที่จะแบ่งกลุ่มรุ่นย่อยได้เลย ถ้าเป็นสีเงินจะเป็นรุ่นเริ่มต้น ถัดขึ้นมาจะเป็นแบบ Piano Black แต่ถ้าเป็นตัวท็อปจะเป็นสี Gun Metallic แต่หากสนใจ Mazda CX-8 แนะนำให้เลือกสี Polymetal Gray จะให้สไตล์แบบดูอบอุ่น แต่แอบสปอร์ตพรีเมี่ยมนิดนึง ส่วนฝากระโปรงด้านท้ายสามารถใช้เท้าเปิดได้ ซึ่งนั้นคือจุดหลักๆ ที่มีการเปลี่ยนแปลง

เครื่องยนต์มีให้เลือก 2 แบบได้แก่

เบนซิน 2.5 ลิตร เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.5 ลิตร 2,488 cc กำลังสูงสุด 194 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด ที่ 258 นิวตันเมตร ที่ 4,000 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ

ดีเซล 2.2 ลิตร Turbo เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.2 ลิตร 2,191 cc Turbocharged กำลังสูงสุด 190 แรงม้า (PS) ที่ 4,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตร ที่ 2,000 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ

เบรกด้านหน้า-หลัง จะเป็นแบบดิสก์เบรกพร้อมกับครีบระบายความร้อนเบรก ช่วงล่างด้านหน้าจะเป็นแบบอิสระแม็คเฟอร์สันสตรัทพร้อมกับเหล็กกันโคลง ส่วนช่วงล่างด้านหลังจะเป็นแบบอิสระมัลติลิงก์พร้อมกับเหล็กกันโคลง และยาง 225/55 R19

องศาการเปิดประตูประตูเข้าเบาะแถวที่สองจะกว้างกว่าด้านหน้า แทบจะเป็นแบบเก้าสิบองศาเลย ถือว่าดีมากๆเลย

Mazda CX-8 ไมเนอร์เชนจ์ ปี 2022 สิ่งที่ชอบคือออฟชั่นที่ให้มาค่อนข้างเยอะ ระบบหนึ่งในนั้นก็คือ GVC Plus ที่ช่วยเวลาหักเลี้ยวฉุกเฉิน เปลี่ยนเลน จะทำให้เกาะถนน และเสถียรกว่าระบบ GVC การทรงตัวของตัวรถไม่รู้สึกว่าหลุด ช่วงล่างแน่นใช้ได้เลย ทดสอบเร่งความเร็ว จาก 30 – 60 – 80 – 100 กิโลเมตร / ชั่วโมง ฟิลลิ่ง อย่างแรกคือไม่ได้แรงมากนัก เพราะเป็นรถ SUV ส่วนเสียงเครื่องยนต์ดังอยู่พอควรเวลาเราเหยียบคิกดาวน์ได้ยินชัดแจ๋วเลย ด้านการเก็บเสียงอื่นๆ รบกวนอื่นๆ ถือว่าเก็บเสียงได้ดี การเบรกของคันนี้ถือว่าใช้ได้ เบรกเอาอยู่

อัตราเร่ง ถ้าเหยียบปกติทั่วไปความเร็วมาเนียน ไม่กระชาก หากเร่งทันทีแบบคิกดาวน์ จะมีการแบบพุ่งนิดนึงเพราะว่ารอบทำงานหนัก ส่วนการเบรกจะไม่จิก มันจะแบบเบาๆ นุ่มดีไม่มีอาการชะงัก

ทัศนวิสัยในการขับขี่โดยรวมถือว่ากว้าง แต่กระจกด้านข้างมันอาจจะเล็กไปนิดนึง ซึ่งการใช้งานจริงๆ ไม่ได้มีอุปสรรค กระจกมองหลัง หากใช้งานเบาะแถวสามอาจจะมองไม่เห็นด้านหลัง ซึ่งเป็นเหมือนรถเจ็ดที่นั่งทั่วไป

จุดหนึ่งที่ไม่ค่อยชอบใน Mazda CX-8 คือหน้าจอบนคอนโซนกลางมีขนาดจะเล็กไปหน่อย ขนาดจอเหมือนได้ฟีล CX-5, CX-30 ซึ่งราคาของ Mazda CX-8 ค่อนข้างห่างกันน่าจะได้จอใหญ่ หรือพรีเมี่ยมไฮเทคมากกว่านี้ จะเพิ่มความคุ้มค่ากับให้กับรุ่นนี้ได้เยอะอยู่พอสมควร ซึ่งนอกนั้นโดยรวมแล้วโอเคหมดเลยครับเบาะก็นั่งสบายครับฝั่งคนขับมีเมมโมรี่ซีทให้ ซึ่งจะอยู่ด้านข้างติดเบาะ ซึ่งที่นั่งคู่หน้าปรับไฟฟ้าทั้งคู่ พวงมาลัยกระชับ ควบคุมได้ง่าย คอนโทรลได้ดี

ขับด้วยความเร็วประมาณ 80 กิโลเมตร / ชั่วโมง การทรงตัวดี โค้งหนักเอาอยู่ เวลาเร่งเนียนชอบตรงที่เนียนมาก ซึ่งถ้าอยากได้แรงกว่านี้สามารถปรับเป็นโหมดสปอร์ต และยังสามารถปรับเป็นแมนนวลได้ด้วย การกลับรถรัศมีวงเลี้ยวถือว่าสแตนดาร์ด

ลองปรับเป็นโหมดสปอร์ตจะมีอาการชะงัก สัญลักษณ์สปอร์ตจะแสดงบนหน้าจอ เติมคันเร่งจะได้ยินเเสียงเครื่องดังชัดเจน มาด้วยความแรงกว่าในระดับนึง การเข้าโค้งของโหมดสปอร์ตก็ไม่มีปัญหา ซึ่งความเห็นส่วนตัวไม่ต้องไปใช้เครื่องดีเซลก็ได้ความแรง ถึงแม้เครื่องดีดีเซลจะประหยัดน้ำมันมากกว่าแต่ก็มีค่าตัวที่สูงกว่าเช่นกัน

ซึ่งเมื่อหากขับด้วยความเร็วต่ำ หรืออยู่ในช่วงรถติด ไม่แนะนำให้ใช้โหมดสปอร์ต เพราะจะรู้สึกหน่วง ไม่เหมือนเร่งในช่วงความเร็วสูงที่จะเร้าใจมากกว่า และโหมดสปอร์ตจะกินน้ำมันมากกว่าโหมดธรรมดา

ด้านกล้อง 360 องศาคันนี้มีให้ แต่ภาพอาจจะไม่ได้คมชัดสักเท่าไหร่ น่าเสียดาย ถ้าได้กล้องที่ชัดมากกว่านี้ให้สมกับแบบเป็นรถ SUV ที่ใหญ่ที่สุดของ Mazda ในบ้านเราตอนนี้ ก็จะทำให้น่าดึงดูดมากกว่าเดิมเข้าไปอีก

นอกจากนั้น ยังมี Head Up Display ที่เห็นได้ชัดแจ๋ว ซันรูฟ เปิดแบบไฟฟ้า ที่วางแขนยาวสบาย พื้นที่ใช้สอยด้านหน้า ด้านหลัง กว้างขวาง และยังมี Mazda Radar Cruise Control with Stop & Go ส่วนลำโพงจะเป็นของ Bose เบรกมือไฟฟ้า มี Auto Break Hold

ส่วนที่แตกต่างของรุ่นนี้ กับ Mazda CX-8 XDL Exclusive ก็คือตัวตัวท็อปรุ่นดีเซล จะมีขับระบบเคลื่อนสี่ล้อ

ทดสอบความเร็ว 0-100 กิโลเมตร / ชั่วโมง โหมด Normal ใช้เวลา 12 วินาที

สามารถดูอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงจากการทดลองขับบนหน้าจอแสดงอัตราสิ้นเปลือง 7.5 กิโลเมตร / ลิตร ซึ่งจากการขับทดสอบมีตัวแปลหลากหลายอย่างเช่น การขับด้วยความเร็ว การจอดหยุดนิ่ง การเปลี่ยนโหมดขับขี่อาจจะทำให้ตัวเลขลดลงไปอย่างมาก ซึ่งจากค่าเฉลี่ยอาจจะมีอัตราสิ้นเปลืองเมื่อขับปกติที่ประมาณ 9-10 กิโลมตร / ลิตร

*สามารถชมคลิปรีวิวฉบับเต็มได้ที่ Link ด้านล่างนี้ครับ