MG4 Electric รถยนต์ไฟฟ้า 100% ทำไมคันนี้ถึงน่าใช้

Share on facebook
Share on twitter

MG4 Electric รถยนต์ไฟฟ้า 100% จากค่าย MG ถ้าเปรียบเทียบในตลาดแล้วรถคันนี้จะอยู่ในกลุ่มของ C Segment สามารถนำมาเทียบในเรื่องราคากับกลุ่ม B-SUV ได้ ซึ่ง MG4 จะมีด้วยกัน 2 รุ่นคือรุ่น D ตัวต้นราคา 869,000 บาท และรุ่น X ตัวท็อปราคา 969,000 บาท ซึ่งยอดจองตอนนี้ถือว่าเยอะมาก ๆ ครับ

สำหรับ MG 4 คันนี้จะใช้แพลตฟอร์มใหม่ที่จะนำมาใช้กับรุ่นต่อ ๆ ไปของ MG ในอนาคต จากที่ได้ทดลองมาบอกได้เลยครับว่าช่วงล่างดีขึ้นเยอะ ระบบช่วงล่างด้านหน้าจะเป็นแบบอิสระแม็คเฟอร์สันสตรัท ด้านหลังจะเป็นแบบอิสระ 5 ลิงค์ ล้อจะเป็นดิสเบรกทั้ง 4 ล้อ และด้านหน้าจะมีช่องระบายความร้อนให้ครับ

MG4 Electric จะให้แรงม้าสูงสุดที่ 170 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตรตำแหน่งของมอเตอร์ จะอยู่ช่วงท้ายรถเนื่องจากเป็นรถขับล้อหลัง ด้านหน้าจะเป็นแบตเตอรี่และระบบต่าง ๆ แต่แบตเตอรี่สำหรับขับเคลื่อนจะอยู่ตรงกลางตัวรถทำให้มีความสมดุลย์เวลาหักเลี้ยวมั่นใจได้ในระดับนึงเลยครับ

ระบบการชาร์จของรถคันนี้จะใช้สายชาร์จแบบ Type 2 ซึ่งเป็นมาตราฐานที่คุณสามารถชาร์จรถตามสถานีชาร์จต่าง ๆ พลังงานมาจากแบตเตอรี่ Lithium Iron Phosphate ความจุ 51 kWh สามารถขับได้ประมาณ 425 กิโลเมตรต่อ 1 การชาร์จ รับรองการชาร์จ 2 แบบคือ AC และ DC แบบ AC จะรองรับได้สูงสุด 6.6 kWh ถ้าชาร์จ 0-100% ใช้เวลา 8.5 ชม. และระบบ DC รองรับไฟฟ้าสูงสุด 88 kWh ชาร์จจาก 10-80% ใช้เวลา 35 นาที ส่วนระบบ V2L หรือ Vehicle to Load รองรับไฟฟ้าได้สูงสุด 220V

โหมดการขับขี่จะมีมาให้หลายโหมดไม่ว่าจะเป็น Normal, Eco, Sport, Snow ซึ่ง เราสามารถเลือกให้เหมาะสมกับการขับขี่ของเราครับ จากการทดลองโหมด Normal ทำความเร็ว 0-100 กม-/ชม. ใน 8.56 วินาที ในโหมด Sport การขับขี่จะให้ความรู้สึกที่เร้าใจขึ้น ทำความเร็ว 0-100 กม-/ชม. ใน 8.45 วินาที

ในด้านคุณภาพ และความปลอดภัย ภายนอกตัวรถจะดูสวยงาม และมีความสปอร์ท และถ้าเราพูดถึงรถยนต์ไฟฟ้า 100% ก็จะต้องพูดถึงความทันสมัยและดูเป็นอนาคต ซึ่งรถคันนี้ก็ดูเป็นแบบนั้นเช่นเดียวกันแต่ก็จะผสมผสานความสปอร์ทที่คุณจะเห็นได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นลายที่ฝากระโปรงด้านหน้า ไฟหน้าที่ดูดุดัน ลายล้อที่ดูทันสมัย แต่ไฮไลท์สำหรับผมก็คือด้านท้ายที่ดูมีเสน่าห์มาก ๆ ไฟท้ายจะคาดยาวจะซ้ายไปขวาโดยมีดีไซน์ที่นูนออกมาจากตัวรถ

สำหรับสีทูโทนจะมีเฉพาะในรุ่น X เท่านั้น เรื่องสีเองก็ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละท่านครับ แต่สำหรับผมเองจะเลือกตัวท็อปที่เป็นสีทูโทนรวมทั้งระบบความปลอดภัยที่มีเพิ่มมาให้

สิ่งที่น่าเสียดายคือฝากระโปรงท้ายไม่ได้ติดตั้งแบบไฟฟ้ามาให้ เมื่อเปิดท้ายรถขึ้นมาจะพบห้องเก็บของที่มีขนาดกว้าง แผ่นปูพื้นสามารถดึงเปิดขึ้นมาเพื่อยกเป็นอีกสเต็ปได้

ระบบกล้อง 360 องศาจะติดตั้งมากับรุ่นท็อปสามรถกดดูที่หน้าจอ Display ได้เลย แต่คุณภาพกล้องจะคมชัดสู้ MG รุ่นก่อน ๆ ไม่ได้ แต่ความสะดวกคือเราสามารถกดเลือกดูมุมมองรอบคันของรถได้เลย และหน้าจอ Display จะมีลูกเล่นมาให้เยอะ ระบบการขับขี่ต่าง ๆ ก็ตั้งได้จากจอนี้เช่นกัน และยังเชื่อมต่อ Apple Carplay และ Android Auto ได้อีกด้วย

ถ้าดูภายในของตัวรถอาจจะรู้สึกว่าโล่ง และไม่ค่อยมีอะไรแต่จริง ๆ แล้วมีฟังก์ชั่นการใช้งานเยอะมาก ๆ ข้อดีคือมีความโปร่งและโล่งสบาย ถ้าเทียบกับ MG VS ที่มีแผงคอนโซลกลางที่กว้างทำให้เบียดพื้นที่วางขา แต่ของคันนี้คอนโซลกลางมีขนาดที่พอดีเพิ่มพื้นที่วางขาสบายแถมยังมีช่องเก็บของให้ด้วย วัสดุของเบาะนั่งสบายอยู่ในระดับหนึ่ง แต่ถ้าใครที่ไม่ชอบเบาะที่นุ่มมากก็อาจจะไม่ชอบ ฝั่งคนขับมีระบบปรับเบาะไฟฟ้าติดตั้งมาให้

ที่นั่งด้านหลังใช้วัสดุเดียวกับด้านหน้า พื้นที่ Leg Room มีให้เหลือเฟือแต่น่าเสียดายที่ไม่มีที่วางแขนตรงกลางมาให้ Head Room ถ้าเทียบกับผมอาจจะชิดไปนิดนึง และเวลานั่งด้านหลังสำหรับผมจะรู้สึกว่าที่นั่งต่ำไปนิดนึง

ด้านหลังเบาะด้านหน้าจะมีช่องเก็บของให้ทั้งด้านล่างและด้านบน อีกจุดที่อยากให้สังเกตุคือจะไม่มีราวจับให้ ซึ่งน่าเสียดายสำหรับผู้ที่ต้องการแขวนของ อาจจะต้องหาอย่างอื่นมารองรับแทน

*สามารถชมคลิปรีวิวฉบับเต็มได้ที่ Link ด้านล่างนี้เลยครับ